20130829

ทำไมถึงแพ้เครื่องประดับแพ้ต่างหูการป้องกันการรักษาสาเหตุของการแพ้สารนิ้กเกิ้ล

การชุบเครื่องประดับ,ชุบทอง,ชุบโลหะด้วยไฟฟ้า โดยทั่วไปจะมีการชุบนิ้กเกิ้ล ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายต่อผิวหนังซึ่งผู้สวมใส่เครื่องประดับโดยทั่วไป อาจเข้าใจหรือเข้าใจผิดไปเองว่าตนเองนั้นแพ้ โรเดียม ซึ่งที่จริงแล้ว โรเดียม เป็นโลหะทรานซิชันสีขาวเงินที่หายากอยู่ในกลุ่มของแพลทินัม และพบในแร่แพลทินัม ใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะผสมแพลทินัม ปัจจุบันเป็นโลหะมีค่าที่มีมูลค่าด้านเศรษฐกิจสูงที่สุดหรือราคาแพงที่สุด ซึ่งราคาสูงกว่าทองคำประมาณ 10 เท่า และไม่ได้เป็นอันตรายต่อผิวหนังแต่อย่างใด ซึ่งจุดประสงค์ของการชุบนิ้กเกิ้ลนั้นก้เพื่อที่จะให้ชิ้นงานไม่เป็นสนิม เป็นมันเงาแวววาว แข็งขึ้น ชิ้นงานทนทานมากขึ้น
            ตัวอย่างขั้นตอนการชุบโลหะด้วยไฟฟ้าโดยทั่วไป
null
เครื่องประดับเทียมโดยมากผลิตขึ้นจากโลหะผสมจำพวกทองเหลือง ทองบรอนซ์ ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว สเตนเลส อัลลอยฯลฯ และมักประดับด้วยเพชรสวิส,พลอยสังเคราะห์หรืออัญมณีสังเคราะห์ เครื่องประดับเทียมส่วนใหญ่นำเสนอในระดับราคาไม่สูงนักทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อและสามารถปรับเปลี่ยนได้บ่อยตามกระแสแฟชั่น อย่างไรก็ตาม เครื่องประดับเทียมที่มีราคาสูงก็มีปรากฎอยู่ในตลาดเช่นกันโดยเป็นเครื่องประดับที่มีตราสินค้าหรือแบรนด์ของตนเองและมีความต่างโดดเด่นในด้านรูปแบบทันสมัยรวมถึงระดับคุณภาพทั้งความคงทน ความประณีต และความปลอดภัยต่อผู้สวมใส่
เป็นที่ทราบกันดีว่าโลหะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในธาตุองค์ประกอบของเครื่องประดับอาทิ ตะกั่ว แคดเมียม และนิกเกิล  เป็นอันตรายต่อผู้สวมใส่หากมีปริมาณมากเกินกว่าระดับที่เหมาะสมซึ่งไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า อีกทั้งผลกระทบจากการสัมผัสกับโลหะดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีเว้นแต่ผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงซึ่งจะมีความไวต่อการสัมผัสโลหะดังกล่าวหลังสวมใส่เครื่องประดับที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงไม่นาน อย่างไรก็ตาม เครื่องประดับแฟชั่นรวมถึงเครื่องประดับแท้ที่ทำจากโลหะมีค่าก็ยังคงต้องมีโลหะอันตรายเหล่านี้เป็นหนึ่งในส่วนประกอบดังนั้นผู้บริโภคที่เกรงกลัวอันตรายและให้ความใส่ใจกับสุขอนามัยที่ดีควรให้ความสำคัญต่อการเลือกซื้อเครื่องประดับที่มีคุณภาพได้มาตรฐานจากผู้จำหน่ายที่เชื่อถือได้และควรหลีกเลี่ยงการซื้อเครื่องประดับที่มีราคาถูกมากซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเครื่องประดับซึ่งละเลยการควบคุมปริมาณการใช้โลหะเหล่านี้ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
มาตรฐานความปลอดภัยตามข้อกำหนดสำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปซึ่งโดยทั่วไปกำหนดให้มีปริมาณโลหะที่เป็นอันตรายต่างๆ โดยเฉพาะตะกั่วและแคดเมียมได้ไม่เกิน 100 ส่วนต่อล้านส่วนหรือคิดเป็นร้อยละ 0.01 และหากเป็นเครื่องประดับสำหรับเด็ก เกณฑ์การใช้ปริมาณโลหะอันตรายต่างๆ จะต้องต่ำลงไปกว่านี้อีก
ผลิตภัณฑ์ปลอดตะกั่ว (Lead Free) หรือปลอดนิกเกิล (Nickel Free)
สาวๆ ที่รักสวยรักงาม ก้าวติดเทรนด์แฟชั่นไม่มีถอย คงไม่รู้หรอกว่าเครื่องประดับสวยๆ ที่ช่วยให้คุณเป็นสาวสวยยิ่งขึ้นหรือเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟันตามแฟชั่นนิยม อาจลอบทำร้ายผิวคุณได้อย่างนึกไม่ถึง เช่น ต่างหู สร้อยคอ กรอบเลี่ยมพระ แหวน สร้อยข้อมือข้อแขน และกำไลข้อมือ เป็นต้น ไม่เพียงเครื่องประดับเหล่านี้ ยังมีสิ่งอื่นๆ ใกล้ตัวที่คุณอาจนึกไม่ถึง เช่น กระดุมกางเกงยีนส์ ซิป เข็มขัด ตะขอชุด ชั้นใน ที่ดัดขนตา สายนาฬิกา อาการแพ้ก็คือ ผิวเป็นผื่นแดงและคัน เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง

          รู้มั้ยว่าศัตรูตัวสำคัญที่ทำร้ายผิวคุณได้คือ นิกเกิล ซึ่งมองๆ ดูแล้วไม่น่ามีพิษสงเสียเลย ก็แค่โลหะธรรมดาที่ปะปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราโดยไม่ได้นึกถึง เช่น หม้อหุงต้ม ลูกบิด ประตู เหรียญสตางค์เหรียญบาท แม้แต่ในอาหารและในน้ำก๊อกก็อาจมีสารนิ้กเกิลปะปนอยู่ด้วย และบางคนก็อาจจะแพ้ทองคำได้เหมือนกัน

          แพ้เครื่องประดับที่ทำจากนิ้กเกิล
          สารเคมีอย่างนิกเกิล มักทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบได้เมื่อมีการสัมผัส โดย 1 ใน 5 ของผู้หญิงมักแพ้สารที่ว่านี้ และผื่นแพ้จากนิกเกิลมักเกิดบริเวณที่สัมผัสกับเครื่องประดับ เช่น ที่ติ่งหู คอ ข้อมือหรือหน้าอก จะมีอาการเป็นผื่นแดง และอาจเป็นสะเก็ดที่หนังตาบน เนื่องจากสารนิกเกิลติดมือที่ชื่นเหงื่อแล้วไปถูกหนังตา บางคนอาจเป็นผื่นลามไปทั่วตัว หรืออาจเป็นแค่เฉพาะที่ก็ได้

          นพ. นิยม ตันติคุณ แพทย์ผิวหนังจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งกล่าวว่า "มีผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนังที่มีอาการผื่นแดงและคันอันเกิดจากการสวมใส่เครื่องประดับที่ทำมาจากนิกเกิลมากขึ้น คุณหมอแนะนำว่า หลังการเจาะหูควรรอให้แผลแห้งสัก 3 สัปดาห์ จึงใส่เครื่องประดับตามแฟชั่นได้ มิเช่นนั้นรอยแผลที่เกิดจากการเจาะหูจะเกิดการอักเสบขึ้นได้ และหลังจากเจาะหูใหม่ๆ คุณควรจะเลือกตุ้มหูที่ปราศจากสารนิกเกิลจะดีที่สุด"

          แพ้เครื่องประดับที่ทำจากทอง
          นอกจากนิกเกิลจะก่อให้เกิดการแพ้ได้แล้ว เครื่องประดับอื่นๆ ก็ทำให้ผิวหนังมีปัญหาได้เหมือนกัน เช่น ทอง เงิน ทองแดง เพราะการนำทองมาทำเครื่องประดับนั้นจำเป็นต้องผสมกับโลหะที่จะทำให้ทองแข็งตัว หากเป็นทองบริสุทธิ์ ก็มีความอ่อนเกินกว่าที่จะนำมาทำเป็นตัวเรือนหุ้มเพชรพลอยได้ แต่ถ้านำนิกเกิลมาเป็นส่วนผสมก็สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังได้เหมือนกัน (นิกเกิลมีราคาถูกและทำให้เครื่องประดับไม่ดำ ) แต่ถ้าหากเป็นทองที่มีคุณภาพดี ก็จะมีส่วนผสมของนิกเกิลเป็นจำนวนไม่มาก หรือบางคนก็อาจมีอาการแพ้ทองได้เหมือนกัน

          ถ้าหากสงสัยว่า คุณมีอาการโรคภูมิแพ้เครื่องประดับละก็ คุณควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการทดสอบผิวหนังด้วยแผ่นพลาสเตอร์ทดสอบ เพราะไม่เจ็บไม่ปวดแต่อย่างใด เพื่อความมั่นใจคุณแพ้สารนิกเกิลจริงหรือไม่ จะได้หลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองได้

          สาวๆ มากมายที่ไม่รู้ว่าเทรนด์แฟชั่นเครื่องประดับที่กำลังฮิตกันอยู่นั่นมีสารนิกเกิลตัวร้อยแอบแฝงอยู่ด้วยไม่ใช่เฉพาะแต่ในเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังแฝงอยู่ที่ตะขอชุดชั้นใน กระดุมกางเกง ที่หนีบผม ฯลฯ

          การป้องกัน
          หากรู้ตัวว่าคุณแพ้สารนิกเกิล ก็ควรหลีกเลี่ยงสารเหล่านี้
         อย่าแตะต้องเครื่องประดับที่มีส่วนผสมของนิกเกิล แม้ว่าจะการเคลือบป้องกันก็ตามเพราะพอใช้ไปนานวันเข้า สารที่เคลือบไว้ก็จะหลุดลอกออกและปลอดปล่อยสารนิกเกิลออกมาโจมตีผิวคุณโดยไม่รู้ตัว
         เครื่องประดับสวยงามราคาถูกส่วนมากมักไม่ได้เคลือบสารป้องกันสารนิกเกิลไว้ ให้พยายามเลือกเครื่องประดับสแตนเลสที่ปราศจากสารนิกเกิลซึ่งมีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วๆไป
         หลีกเลี่ยงการใช้หม้อหุงต้มที่ทำจากสแตนเลสและเครื่องต้มกาแฟที่มีตัวฟิลเตอร์เป็นโลหะแต่ควรเลือกใช้ภาชนะที่ทำมาจากแก้ว เครื่องเคลือบดินเผา หรือพลาสติกจะดีกว่า
         ไม่ควรกินอาหารกระป๋อง
         ควรสวมใส่ถุงมือเมื่อต้องใช้มือนับเหรียญ (แคชเชียร์) คีม ไขควง และตะปู
         ใช้ครีมที่มีสาร "คอติโซน" เพื่อไปหยุดชะงักระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำการต่อต้านมากนัก อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ควรทาเพียงบางๆ เท่านั้น
         นอกจากทาครีมแล้ว ให้ใช้ผ้าเย็นๆ มาประคบอีกที
         ทาครีมสเตียรอยด์ ซึ่งตัวยาจะเข้มข้นมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่แพ้ หากเป็นที่ฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า ซึ่งมีผิวหนากว่าบริเวณอื่นก็ต้องใช้ตัวยาที่เข้มข้นมากกว่าการใช้ในบริเวณที่ผิวบอบบาง
         หากเป็นมากควรไปพบแพทย์ผิวหนัง

          โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากสารนิกเกิลเป็นโรคเรื้อรัง ยากแก่การรักษาให้หายขาด นอกจากต้องหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้แพ้เท่านั้น แต่เมื่อคุณไม่อาจทิ้งแฟชั่นความสวยความงามได้ ก็ขอแนะนำให้ใช้วัสดุที่เป็นพลาสติกแทน



โลหะนิกเกิล ได้มาจากการถลุงสินแร่ nickliferous limonite และ pentlandite แล้วผ่านกระบวนการสกัดให้ได้นิกเกิล ที่บริสุทธิ์ขึ้นด้วย Mond’s process ซึ่งในกระบวนการนี้มีการใช้ นิกเกิลคาร์บอนิล ซึ่งเป็นของเหลวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่ระคายเคือง และระเหยได้ดี (จุดเดือด 44 องศาเซลเซียส) Mond’s process เป็นกระบวนการที่มีความเสี่ยงกับการรับสัมผัสนิกเกิลและเกิดอันตรายต่อคนงาน นิกเกิลเป็นโลหะที่มีสีเงิน มันวาว การใช้งานมักนำมาทำเหล็กกล้า และอัลลอยและนำมาใช้ประโยชน์ดังนี้ ทำแม่เหล็ก เครื่องยนต์ เคลือบโลหะ ทำเหรียญกษาปณ์ ทำเครื่องประดับ แบตเตอรี่ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และทันตกรรม เช่น ฟันเทียม และครอบฟัน เครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดฝังในตัวผู้ป่วยเป็นโลหะที่มีคุณสมบัติพิเศษ หลายอย่าง ได้แก่ ความเงา ความทนต่อการกัดกร่อน ความทนต่อความร้อน และเป็นโลหะที่ยืดงอได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำนิกเกิล มาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย และทำให้เกิดผลต่อสุขภาพได้

นิกเกิลอาจถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทางการหายใจ ทางผิวหนัง และจากทางเดินอาหาร ภาวะพิษของนิกเกิล เกิดจากการรับสัมผัสทางการหายใจและจากอาชีพเป็นหลัก โดยความสามารถในการถูกดูดซึมขึ้นกับความสามารถในการละลายในน้ำของสารประกอบ นิกเกิล สารที่ละลายน้ำได้ดี ได้แก่ นิกเกิลคาร์บอนิล เป็นสารประกอบที่ถูกดูดซึมได้ดีกว่าสารประกอบที่ละลายในน้ำได้ไม่ดี เช่น นิกเกิลออกไซด์และนิกเกิลซัลไฟด์ นิกเกิลถูกกำจัดจากร่างกายทางปัสสาวะ

การสัมผัสนิกเกิลคาร์บอนิลทางการหายใจจะทำให้เกิดอาการไข้ ไอ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ปวดศีรษะ หลังจากนั้น 12-36 ชั่วโมงอาจเกิดภาวะปอดอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากภาวะการหายใจล้มเหลว การฟื้นตัวจากภาวะปอดอักเสบนี้ใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ซึ่งผู้ป่วยจะยังคงมีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายในระยะยาว

การสัมผัสนิกเกิลที่ผิวหนัง อาจทำให้เกิดภาวะผิวหนังอักเสบเป็นผื่นสัมผัส (Contact dermatitis) หรือเป็นผื่นแพ้ในส่วนอื่นๆของร่างกาย ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ ผู้ป่วยที่แพ้จะเกิดผื่นได้แม้สัมผัสนิกเกิล เพียงเล็กน้อย

ผู้ที่ดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนนิกเกิล อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง และท้องเสีย มีรายงานอุบัติการณ์ของมะเร็งในโพรงจมูก และที่ปอดเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนงานที่รับสัมผัสนิกเกิล
ที่มา
http://www.thaieditorial.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%81/

อ่านบทความทางการแพทย์เพิ่มเติมได้ที่ลิ้งนี้
http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Der%28M.S.%29/Sawarin_R.pdf


ผิวแพ้ง่าย คือ ผิวที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอก โดยมักแสดงออกบริเวณหน้า มีผื่นแดง คัน แสบ หรือมีสิวเทียมเกิดขึ้นด้วย ซึ่งพบได้ในผิวทุกชนิด แต่ที่พบบ่อยคือ คนที่มีผิวแห้ง และคนที่ผิวแห้งหน้ามัน (Seborrhea skin) สาเหตุที่ทำให้ผิวแพ้ง่ายมีหลายปัจจัยด้วยกัน บางคนอาจเกิดจากพันธุกรรม การที่ผิวมีการสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ หรือบางคนอาจเกิดจากการที่ไขมันเคลือบปกป้องผิวตามธรรมชาติทำงานผิดปกติไป ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ทำให้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า (Stratum Corneum) ลดความสามารถในการต้านทานสารระคายเคืองที่มาสัมผัสผิว เมื่อสารระคายเคืองมาสัมผัสกับผิวแล้วจึงเกิดปฏิกริยาไวต่อสารนั้นมากกว่าปกติ



    ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาด้วยอาการผื่นแพ้สัมผัสมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโรคที่พบมากที่สุดตอนนี้คงหนีไม่พ้น ผื่นผิวหนังอักเสบจากการแพ้เครื่องประดับ ซึ่งเครื่องประดับที่พบว่ามีการแพ้ได้บ่อย คือ นิกเกิล, โครเมียม, ปรอท, ทองแดง แต่ตัวเอกที่มีบทบาทเด่นกว่าใครเห็นจะเป็นโลหะนิกเกิล (Nickel) ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุของการแพ้มากที่สุด

    นิกเกิลถูกนำมาใช้ผสมอยู่ในเครื่องประดับหลายชนิด เพื่อเพิ่มความแข็งและให้ลักษณะมันวาวกับเครื่องประดับนั้นๆ เช่น แหวน ต่างหูนาฬิกา สร้อยคอ หน้าปัดโทรศัพท์มือถือ ยาทาเล็บ ซิป โครงเสื้อยกทรงหัวเข็มขัดกระดุมที่เป็นโลหะ กรอบแว่นตา ที่ดัดขนตา เป็นต้น ซึ่งการแพ้เครื่องประดับดังกล่าวจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาจมาจากผู้หญิงนิยมใส่เครื่องประดับมากกว่าผู้ชาย และผู้หญิงมักมีผิวที่บอบบางกว่านั่นเอง

 


  
     ส่วนมากอาการของผู้ป่วยที่เกิดการแพ้เครื่องประดับประเภทนิกเกิล โลหะต่างๆ นั้นจะเกิดอาการแพ้แบบ Cell Mediated Immune Response คือ เมื่อสัมผัสสารนั้นที่ผิวหนังจะเกิดการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ขึ้น การสัมผัสสารในครั้งแรกอาจจะยังไม่มีอาการ แต่เมื่อสัมผัสซ้ำอีกระบบภูมิต้านทานที่ถูกกระตุ้นแล้วจะทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัสแบบ Eczema ได้ ซึ่งระยะกระตุ้น คือ ระยะตั้งแต่ได้รับสารก่อภูมิแพ้ครั้งแรก จนกระทั่งถูกกระตุ้นเต็มที่ใช้เวลาประมาณ 7-10 วันและระยะเกิดปฏิกิริยา คือ ระยะที่ได้รับสารก่อภูมิแพ้อีกครั้ง จนกระทั่งเกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง มีระยะเวลาประมาณ 48-72 ชม.

    อาการของการแพ้เครื่องประดับเริ่มตั้งแต่การที่ผิวหนังเป็นผื่นแดงคัน และเมื่อบริเวณที่สัมผัสสารนั้นแผ่กระจายออกไปอาการคันจะยิ่งมากขึ้นถ้าเกาก็จะยิ่งทำให้เป็นผื่นลุกลามออกไป บางรายอาจมีตุ่มนูนแดง หรือตุ่มน้ำพองใส ถ้าอยู่ในระยะเรื้อรังผิวหนังบริเวณนั้นจะมีสีคล้ำ หนาตัว และนูนแข็งผู้ป่วยจะเกิดอาการแพ้ในบริเวณต่างๆ ซึ่งจะพบบ่อยในบริเวณติ่งหู เนื่องจากแพ้เครื่องประดับต่างหู, บริเวณข้างแก้ม หน้าหู เกิดจากการแพ้อุปกรณ์โทรศัพท์, บริเวณข้อมือ เกิดจากการแพ้เครื่องประดับกำไลข้อมือ นาฬิกาข้อมือ, บริเวณกลางหลังหรือระหว่างอก เกิดจากการแพ้ตะขอชุดชั้นใน เป็นต้น ซึ่งกรณีที่เกิดการแพ้มากผื่นอาจลามไปทั่วตัวได้

    นอกจากนี้สภาวะสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันก็ทำให้เกิดผิวแพ้ง่ายได้เช่นกัน อาทิ ภาวะโลกร้อน มลภาวะต่างๆ และการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหรือครีมหน้าขาวที่มีส่วนผสมไม่ได้มาตรฐาน จากสถิติของแพนคลินิกสาขาชลบุรี มีผู้ป่วยมารักษาด้วยอาการผื่นแพ้สารสัมผัสเครื่องประดับประมาณ 5-10% ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับปัญหาผิวด้านอื่นๆ

วิธีการป้องกันดูแลผิวไม่ให้เกิดการแพ้ง่าย เกี่ยวกับเครื่องประดับ

    1. หลีกเลียงการสวมเครื่องประดับ ในวันที่ต้องทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมาก หรืออากาศร้อนๆ เพราะเหงื่อจะทำให้สารนิกเกิลละลายออกมาได้มากขึ้น
 
    2. เลือกเครื่องประดับที่ทำจากโลหะชนิดอื่นเพื่อลดความเสี่ยงเช่น ทอง, เงิน, พลาสติก, ทองเหลือง หรือเครื่องประดับที่มีป้าย Nickel free
 
    3. หลีกเลี่ยงการสวมใส่เครื่องประดับที่มีความเสี่ยงในการแพ้เพราะเครื่องประดับบางชนิดอาจไม่มีอาการแพ้ในช่วงแรก แต่เมื่อใช้ไปสักพักเมื่อสารที่ชุบลอกออกก็จะทำให้เกิดอาการแพ้ได้
 
    4. ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอย, กุ้ง, ถั่ว, กะหล่ำปลี, ต้นหอม,ผักกาด, นมถั่วเหลือง, ข้าวฟ่าง, ข้าวโอ๊ต, และขนมปังที่ทำจากข้าวชนิดดังกล่าว ผลไม้ เช่น ราสเบอรี่, สับปะรด, ลูกพรุน, อัลมอนด์,ช็อกโกแลต เป็นต้น
 
    5. หากต้องใช้เครื่องประดับที่มีความเสี่ยงในการแพ้ ให้ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติ Nickel block เพื่อให้ผิวสามารถทนต่อการสัมผัสสารนิกเกิลได้นานขึ้น

    ทั้งนี้ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายไม่ว่าจะเนื่องมาจากสาเหตุพันธุกรรมหรือการแพ้นิกเกิล, โครเมียม, ปรอท, ทองแดงที่อยู่ในเครื่องประดับ จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม สารกันบูด ซึ่งจะเหมาะสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่ายและให้ความปลอดภัยต่อทุกสภาพผิว และควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวหนังมีความทนทานต่อการสัมผัสสารนิกเกิลอย่างยาวนาน หรือการทำทรีทเม้นท์ที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย โดยใช้คุณสมบัติเด่นด้วยสารสกัดจากสาหร่ายทะเลน้ำลึกมาช่วยในการรักษาผิวอักเสบ ช่วยพื้นฟู บำรุงผิวให้แข็งแรง ขาวสดใสขึ้น ใครที่มีปัญหาเรื่องนี้สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้โดยตรง เพื่อความสวยใสและปลอดภัยของผิวคุณ
โรคแพ้เครื่องประดับ ภัยที่คุณคาดไม่ถึง (อสมท)

          สาวๆ ที่รักสวยรักงาม ก้าวติดเทรนด์แฟชั่นไม่มีถอย คงไม่รู้หรอกว่าเครื่องประดับสวยๆ ที่ช่วยให้คุณเป็นสาวสวยยิ่งขึ้นหรือเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟันตามแฟชั่นนิยม อาจลอบทำร้ายผิวคุณได้อย่างนึกไม่ถึง เช่น ตุ้มหู สร้อย กรอบเลี่ยมพระ แหวน และกำไลข้อมือ เป็นต้น ไม่เพียงเครื่องประดับเหล่านี้ ยังมีสิ่งอื่นๆ ใกล้ตัวที่คุณอาจนึกไม่ถึง เช่น กระดุมกางเกงยีนส์ ซิป เข็มขัด ตะขอชุด ชั้นใน ที่ดัดขนตา สายนาฬิกา อาการแพ้ก็คือ ผิวเป็นผื่นแดงและคัน เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง

          รู้มั้ยว่าศัตรูตัวสำคัญที่ทำร้ายผิวคุณได้คือ นิกเกิล ซึ่งมองๆ ดูแล้วไม่น่ามีพิษสงเสียเลย ก็แค่โลหะธรรมดาที่ปะปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราโดยไม่ได้นึกถึง เช่น หม้อหุงต้ม ลูกบิด ประตู เหรียญสตางค์ แม้แต่ในอาหารและในน้ำก๊อกก็อาจมีสารนิกเกิลปะปนอยู่ด้วย และบางคนก็อาจจะแพ้ทองคำได้เหมือนกัน

          แพ้เครื่องประดับที่ทำจากนิกเกิล
          สารเคมีอย่างนิกเกิล มักทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบได้เมื่อมีการสัมผัส โดย 1 ใน 5 ของผู้หญิงมักแพ้สารที่ว่านี้ และผื่นแพ้จากนิกเกิลมักเกิดบริเวณที่สัมผัสกับเครื่องประดับ เช่น ที่ติ่งหู คอ ข้อมือหรือหน้าอก จะมีอาการเป็นผื่นแดง และอาจเป็นสะเก็ดที่หนังตาบน เนื่องจากสารนิกเกิลติดมือที่ชื่นเหงือแล้วไปถูกหนังตา บางคนอาจเป็นผื่นลามไปทั่วตัว หรืออาจเป็นแค่เฉพาะที่ก็ได้

          นพ. นิยม ตันติคุณ แพทย์ผิวหนังจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งกล่าวว่า "มีผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนังที่มีอาการผื่นแดงและคันอันเกิดจากการสวมใส่เครื่องประดับที่ทำมาจากนิกเกิลมากขึ้น คุณหมอแนะนำว่า หลังการเจาะหูควรรอให้แผลแห้งสัก 3 สัปดาห์ จึงใส่เครื่องประดับตามแฟชั่นได้ มิเช่นนั้นรอยแผลที่เกิดจากการเจาะหูจะเกิดการอักเสบขึ้นได้ และหลังจากเจาะหูใหม่ๆ คุณควรจะเลือกตุ้มหูที่ปราศจากสารนิกเกิลจะดีที่สุด"

          แพ้เครื่องประดับที่ทำจากทอง
          นอกจากนิกเกิลจะก่อให้เกิดการแพ้ได้แล้ว เครื่องประดับอื่นๆ ก็ทำให้ผิวหนังมีปัญหาได้เหมือนกัน เช่น ทอง เงิน ทองแดง เพราะการนำทองมาทำเครื่องประดับนั้นจำเป็นต้องผสมกับโลหะที่จะทำให้ทองแข็งตัว หากเป็นทองบริสุทธิ์ ก็มีความอ่อนเกินกว่าที่จะนำมาทำเป็นตัวเรือนหุ้มเพชรพลอยได้ แต่ถ้านำนิกเกิลมาเป็นส่วนผสมก็สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังได้เหมือนกัน (นิกเกิลมีราคาถูกและทำให้เครื่องประดับไม่ดำ ) แต่ถ้าหากเป็นทองที่มีคุณภาพดี ก็จะมีส่วนผสมของนิกเกิลเป็นจำนวนไม่มาก หรือบางคนก็อาจมีอาการแพ้ทองได้เหมือนกัน

          ถ้าหากสงสัยว่า คุณมีอาการโรคภูมิแพ้เครื่องประดับละก็ คุณควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการทดสอบผิวหนังด้วยแผ่นพลาสเตอร์ทดสอบ เพราะไม่เจ็บไม่ปวดแต่อย่างใด เพื่อความมั่นใจคุณแพ้สารนิกเกิลจริงหรืไม่ จะได้หลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองได้

          สาวๆ มากมายที่ไม่รู้ว่าเทรนด์แฟชั่นเครื่องประดับที่กำลังฮิตกันอยู่นั่นมีสารนิกเกิลตัวร้อยแอบแฝงอยู่ด้วยไม่ใช่เฉพาะแต่ในเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังแฝงอยู่ที่ตะขอชุดชั้นใน กระดุมกางเกง ที่หนีบผม ฯลฯ

          การป้องกัน
          หากรู้ตัวว่าคุณแพ้สารนิกเกิล ก็ควรหลีกเลี่ยงสารเหล่านี้
           อย่าแตะต้องเครื่องประดับที่มีส่วนผสมของนิกเกิล แม้ว่าจะการเคลือบป้องกันก็ตามเพราะพอใช้ไปนานวันเข้า สารที่เคลือบไว้ก็จะหลุดลอกออกและปลอดปล่อยสารนิกเกิลออกมาโจมตีผิวคุณโดยไม่รู้ตัว
           เครื่องประดับสวยงามราคาถูกส่วนมากมักไม่ได้เคลือบสารป้องกันสารนิกเกิลไว้ ให้พยายามเลือกเครื่องประดับสแตนเลสที่ปราศจากสารนิกเกิลซึ่งมีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วๆไป
           หลีกเลี่ยงการใช้หม้อหุงต้มที่ทำจากสแตนเลสและเครื่องต้มกาแฟที่มีตัวฟิลเตอร์เป็นโลหะแต่ควรเลือกใช้ภาชนะที่ทำมาจากแก้ว เครื่องเคลือบดินเผา หรือพลาสติกจะดีกว่า
           ไม่ควรกินอาหารกระป๋อง
           ควรสวมใส่ถุงมือเมื่อต้องใช้มือนับเหรียญ (แคชเชียร์) คีม ไขควง และตะปู
           ใช้ครีมที่มีสาร "คอติโซน" เพื่อไปหยุดชะงักระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำการต่อต้านมากนัก อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ควรทาเพียงบางๆ เท่านั้น
           นอกจากทาครีมแล้ว ให้ใช้ผ้าเย็นๆ มาประคบอีกที
           ทาครีมสเตียรอยด์ ซึ่งตัวยาจะเข้มข้นมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่แพ้ หากเป็นที่ฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า ซึ่งมีผิวหนากว่าบริเวณอื่นก็ต้องใช้ตัวยาที่เข้มข้นมากกว่าการใช้ในบริเวณที่ผิวบอบบาง
           หากเป็นมากควรไปพบแพทย์ผิวหนัง

          โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากสารนิกเกิลเป็นโรคเรื้อรัง ยากแก่การรักษาให้หายขาด นอกจากต้องหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้แพ้เท่านั้น แต่เมื่อคุณไม่อาจทิ้งแฟชั่นความสวยความงามได้ ก็ขอแนะนำให้ใช้วัสดุที่เป็นพลาสติกแทน


25Aug'56/4









Cut | การเจียระไน

Cut | การเจียระไน ความสวยงามของเพชรนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการเจียระไน รวมถึงความสามารถและความชำนาญในการเจียระไนด้วย เพชรสามารถเจียระไนออกมาได้หลายรูปทรง แต่รูปทรงที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ ทรงกลม (Round shape) รูปแบบของการเจียระไนเพชรทรงกลมที่สวยงามที่สุดมีชื่อเรียกว่า "Brillant Cut" หรือที่รู้จักกันในนาม "เหลี่ยมเกสร"

ตัวอย่างลักษณะรูปทรงของเพชร
Diamond Shape รูปทรงของเพชร
คุณภาพของการเจียระไนและขัดผิวจะส่งผลต่อลักษณะของแสงที่เดินทางผ่านเพชรมาให้เราเห็น คุณสมบัติเหล่านี้ได้แก่ Proportion (สัดส่วน), Symmetry (ความสมมาตร), Polish (การขัดผิว) และอื่นๆ

ลักษณะของแสง (Light’s Performance) ที่ดีนั้น แสงทั้งหมดจะต้องถูกสะท้อนมายังผู้สวมใส่ และให้ความแวววาว (Brilliance) สูงสุด ตามภาพที่แสดงด้านล่างดังนี้
Shallow Cut, Ideal Cut, Deep Cut
  • Too Shallow แสงหลุดลงไปด้านล่างไม่กระทบกลับมาด้านหน้าของเพชร ทำให้สูญเสียความแวววาวไป
  • Ideal แสงทั้งหมดถูกสะท้อนมายังผู้สวมใส่ ทำให้เพชรเกิดความแวววาวสูงสุด
  • Too Deep แสงตกกระทบแล้วสะท้อนออกด้านข้าง ซึ่งมักจะทำให้เพชรเกิดความหม่นหรือสีคล้ำภายใน
เพชร Hearts & Arrows (H&A) เป็นเพชรที่ได้รับการเจียระไนได้สมบูรณ์แบบที่สุด มีลักษณะพิเศษคือจะให้แสงสะท้อนที่แวววาวสูงสุด ใช้เรียกกับเพชรรูปทรงกลมเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ เราจะเห็น Pattern รูปหัวใจ 8 ดวงเมื่อมองจากด้านล่าง และลูกศร 8 ศร เมื่อมองจากด้านบน โดยหัวใจ และลูกศรก็จะมีขนาดเท่ากันทั้งหมด และวางตัวอย่างสมมาตรด้วย ซึ่งเราจะพบเพชร Heart & Arrows 1-2% ของเพชรทั้งหมดในโลกนี้เท่านั้นที่จะเจียระไนได้สมบูรณ์แบบระดับนี้ ซึ่งก็ทำให้มีราคาสูงกว่าเพชรทั่วไป 
Color | สี 

สีของเพชรจะถูกจัดแบ่งโดยเริ่มตั้งแต่เพชรที่ใส ไม่มีสี (Colorless), เริ่มมีสีนวลขึ้นในระดับที่ สายตาเริ่มสังเกตได้ (Near Colorless), เป็นสีเหลืองจางๆ (Yellow Tinge) และเป็นสีเหลืองอ่อนๆ (Light Yellow)

หากใช้มาตราฐานของ GIA จะสามารถแบ่งระดับสีหรือที่เรานิยมเรียกกันว่า "น้ำ" โดยใช้อักษรตั้งแต่ D ซึ่งเทียบเท่ากับน้ำ 100 ถัดมาเป็น E ซึ่งเทียบเท่ากับน้ำ 99 ไล่ลงไปเรื่อยๆ จนถึง Z ดังนี้
Diamond Color


การจัดแบ่่งสีของเพชรต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งสายตาของคนทั่วไปจะไม่สามารถดูความแตกต่างของสีเพชรได้ ดังนั้นเพชรทุกเม็ดต้องมีใบ Certificate กำกับ.  

Clarity | ความสะอาด 
การเกิดเพชรตามธรรมชาติภายใต้แรงกดดันและอุณหภูมิที่สูงมาก และปรากฎการณ์ธรรมชาติก็สามารถก่อให้เกิดรอยตำหนิในเพชรหรืออาจทำให้เพชรมีมลทินได้ เพชรที่ไม่มีมลทินและตำหนิ หรือมีน้อยก็จะยิ่งหายากและจะมีมูลค่าสูงขึ้นด้วย

เพชรสามารถแบ่งตามคุณภาพของความสะอาด ภายใต้การใช้กล้องขยายที่มีกำลังขยาย 10 เท่าได้ดังนี้
Diamond Clarity
  • FL (Flawless) หรือ LC (Loupe Clean) เพชรที่สะอาดที่สุด ไม่มีรอยตำหนิใดๆ ทั้งภายในและภายนอก
  • IF (Internal Flawless) เพชรที่สะอาด ไม่มีรอยตำหนิใดๆ หรือจะมีก็แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ ภายนอกเท่านั้น
  • VVS1, VVS2 (Very Very Slightly Included) มีแผลตำหนิภายในหรือภายนอกน้อยมาก
    สังเกตได้ยากมาก
  • VS1, VS2 (Very Slightly Included) มีแผลตำหนิภายในหรือภายนอกเล็กน้อย
  • I1, I2 (Imperfect) มีรอยตำหนิซึ่งมองเห็นได้ง่าย
Carat Weight | กะรัต 

หน่วยที่เป็นมาตราฐานในการใช้ชั่งน้ำหนักเพชรและอัญมณีต่างๆคือ "กะรัต" (Carat) หรือย่อว่า ct ใน 1 กะรัตจะแบ่งเป็นหน่วยย่อยๆ 100 หน่วย เรียกว่าPoint หรือที่รู้จักกันว่า "ตัง" เช่นเพชรที่มีขนาด 0.50 ct ก็จะเรียกว่า 50 Point หรือ 50 ตัง

ราคาของเพชรจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักและคุณลักษณะอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นเพชที่มีน้ำหนักเท่ากัน อาจจะมีราคาที่แตกต่างกันได้ อีกทั้งราคาของเพชรจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆโดยอาศัยช่วงน้ำหนัก ราคาจะมาสูงขึ้นในอัตราส่วนเดียวกับน้ำหนักกะรัต เช่น เพชร 2 กะรัตไม่ได้มีราคาเป็น 2 เท่าของ เพชร 1 กะรัต
ภาพด้านล่างแสดงขนาดโดยประมาณของเพชรในแต่ละกะรัต 

Diamond Carat

เกรดการเจียระไนเพชรแบบต่าง ๆ

เพชรอินเดียหรืออินเดียนคัท (Indian Cut)

พูดว่าอินเดียก็ไม่ต้องอธิบายมากแล้วว่าคุณภาพประมาณไหน เพราะคำว่า "อินเดีย" เองก็มีคำจำกัดความที่ชัดเจนประมาณนึง เพชรอินเดียในอดีต หมายถึงเพชรที่มีคุณภาพต่ำ สีไม่ขาวมาก ความสะอาดต่ำที่สุดในกระบวนเพชรทั้งหมด เนื่องจากมีคุณภาพต่ำ จึงส่งไปเจียระไนกันที่อินเดียเพราะค่าแรงถูก ทำให้คุณภาพการเจียระไนออกมาแบบอินเดี๊ย-อินเดียไปด้วย
พอเริ่มยุคฟองสบู่แตกในประเทศไทย ก็เริ่มมีศัพท์ใหม่ซึ่งแตก Segment ออกมาจากอินเดียธรรมดาได้อย่างมหัศจรรย์ นั่นก็คือคำว่า Top Indian หมายถึงเพชรอินเดียที่เหนือกว่าอินเดียธรรมดาทั่วไปและมักจะมาพร้อมคำโฆษณาที่แขกขายเพชรชอบหลอกล่อร้านเพชรบ่อยๆก็คือ After setting looks white หรือ ฝังออกมาก็ไม่เห็นหรอกว่าเป็นสีเหลืองๆ จึงทำให้ Top Indian ขายดิบขายดี เมื่อฝังเสร็จแล้ว ถึงร้านเพชรจะบอกลูกค้าว่าเป็นเบลเยี่ยม ลูกค้าก็ดูไม่ออกอยู่ดี เพราะการแยกเพชรเม็ดเล็กๆว่าเป็น Indian หรือ Belgium ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญประมาณหนึ่งถึงจะดูได้ขาด
ส่วนอินเดียนคัทที่ครองรางวัลบู้บี้นั้น เราแอบตั้งชื่อเล่นกันว่า อินเดียช้างเหยียบค่ะ คุณภาพระดับนี้ไม่เหลืออะไรให้ภาคภูมิใจแล้วนอกจากการที่มันได้เกิดเป็นเพชร!! คุณภาพที่ว่านี้ ราคาต่อกะรัตเป็นหลักพัน สีน้ำตาลเฉียดไปทางดำคล้ำ รอยแตกไม่ต้องพูดถึงเพราะร้าวรานจับใจมองเห็นรอยแตกได้ด้วยตาเปล่า คาดว่าคงโดนช้าง ม้า วัว ควายรุมสกรัมกันจนหมดป่าไปแล้ว

เพชรเบลเยี่ยม (Belgium Cut)

เพชรเบลเยี่ยม เคยเจียระไนมาจากประเทศเบลเยี่ยมค่ะ เพชรที่ขุดขึ้นมาได้ทั้งหมดจะถูกส่งเข้าศูนย์กลางการค้าเพชรและจำแนกออกตามขนาด&คุณภาพ ซึ่งแบ่งออกได้ประมาณ 14,000 Category ที่แตกต่างกันเพื่อขายต่อไป เบลเยี่ยมเป็นหนึ่งประเทศที่ถือเป็นศูนย์กลางการค้าเพชรที่สำคัญของโลกและมีการเจียระไนไที่ขึ้นชื่อว่า เจียได้สวยและใช้เพชรคุณภาพดี จึงได้รับความนิยมมากค่ะ
เมื่อก่อนนี้ก็เจียในเบลเยี่ยมแหละค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เจียกันทั่วไปหมดแล้ว เพราะเราสามารถ QC ให้ออกมาได้คุณภาพเดียวกัน ดังนั้น เดี๋ยวนี้เพชรเบลเยี่ยม เจียที่อินเดีย จีน ไทย ก็ได้ ขอให้คุณภาพดีเท่ากับเบลเยี่ยมก็เรียกเพชรเบลเยี่ยมหรือเบลเยี่ยมคัทได้เหมือนกันค่ะ
โดยเพชรเบลเยี่ยมที่ว่ามานี้ จะมีคุณภาพทั้งเรื่องสี ความสะอาดและการเจียระไนที่เหนือกว่าเพชรอินเดีย เป็นคุณภาพที่ได้รับความนิยมใช้กันสูงสุดก่อนที่เศรษฐกิจในบ้านเราจะสบู่แตกโป๊ะกันไป.. ดังนั้นถ้าใครมีเครื่องเพชรที่มีอายุช่วงประมาณ 15-20 ปีที่แล้ว คุณภาพเพชรที่ใช้มักจะเป็นเพชรเนื้อใสๆ สีค่อนข้างขาวและคุณภาพการเจียค่อนข้างดีทีเดียวค่ะ
เรื่องความสวยนี้ ถ้าวางไว้คู่กับ Top Indian บางทีก็บอกยากเหมือนกันค่ะ ต้องส่องกันดีดีถึงจะเจอความแตกต่าง ส่วนเรื่องราคาก็สูงขึ้นมามากกว่า บ่อยครั้งที่มีคนขาย (สัญชาติเดิม...) มาเสนอขายในราคาแสนประทับใจ พอเอาของมาให้ดูก็เป็นต้องตีกลับกันทุกรายเพราะส่วนใหญ่จะเป็นอินเดียนคัทปลอมตัวมา จนในช่วงหลังๆ คุณหมอก็เลยใช้วิธีถามราคาก่อนค่ะ ถ้าราคาต่ำมากๆ ก็ให้สันนิษฐานไว้ได้เลยว่าอันนี้เบลเยี่ยมปลอมชัวร์ๆ ไม่ต้องเสียเวลาดู เพราะแค่เริ่มติดต่อกันก็ไม่จริงใจแล้ว อย่าได้ค้าขายกันเลยจะดีกว่า

เพชรรัสเชียน (Russian Cut)

เพชรรัสเชี่ยนถือเป็นเพชรที่มีคุณภาพดีที่สุดในกระบวนเพชรทั้งหมด ทั้งในเรื่องสี ความสะอาดและไฟที่แวววิ๊งๆเตะตามากกว่าสองคุณภาพที่ว่ามา หลายๆครั้งที่เคยใช้เพชรรัสเชี่ยนทำเครื่องประดับ แผนกชุบถึงกับต้องโทรมาถามว่านี่เพชรจริงหรือเปล่า เพราะไฟสวยพุ่งเข้าตากว่าเพชรปกติทั่วไป (เนื่องจากเพชรรัสเซียซึ่งเป็นวัสดุเลียนแบบเพชรนั้นจะมีความแวววาวมากกว่าเพชรปกติค่ะ)
เมื่อก่อนนี้ ถ้าเรียกรวมว่ารัสเชี่ยนคัทก็จะหมายถึงความสวยที่มาพร้อมกันทุกหมวดหมู่ แต่ในปัจจุบันนี่สั่งแยกได้เหมือนก๋วยเตี๋ยวเลยค่ะ ประมาณว่า ต้องการเพชรสีขาว มีตำหนินิดหน่อยได้ แต่ขอรัสเชี่ยนคัท คือ การเจียระไนที่ดีสุดๆ คุณก็จะได้เพชรสีขาวมาก ไฟเด้งมากมายแต่ไม่เน้นเรื่องความสะอาด ส่องด้วยกล้องก็อาจจะเห็นตำหนิบ้าง หลายๆร้านก็ใช้วิธีนี้เพราะเพชรจะดูขาว สวย ไฟพุ่งกระจัดกระจายในราคาที่ไม่แพงมากค่ะ
คุณสมบัติของรัสเชี่ยนคัท (ถ้าพูดถึงแง่การเจียระไนอย่างเดียว) ก็จะเป็นเพชรที่มีสัดส่วนดีมากๆค่ะ Hearts & Arrowss เองก็เทียบเท่าเพชรรัสเชี่ยนคัท ดังนั้น H&A ทุกเม็ดก็คือ Russian Cut ด้วย หลายๆครั้งที่สั่งเพชรเม็ดเล็กๆไซส์ 1-2 ตังมาแบบยกห่อ เอากล้อง H&A มาส่องก็จะเห็น H&A จิ๋วๆเต็มไปหมด น่ารักมากๆเลยค่ะ

เพชร Heart & Arrow (Ideal Cut)

เพชร Heart & Arrow (Ideal Cut) หรือเรียกสั้นๆ ว่าเพชร H&A นั้น เป็นเพชรที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพชรทรงกลม (Round Brilliant) มีเหลี่ยมการเจียระไนเหลี่ยมที่ประณีต สวยสมบูรณ์แบบมากที่สุด ทุกขั้นตอนการเจียระไนต้องอาศัยความแม่นยำ ทั้งในด้านสัดส่วน (Proportion) ความสมมาตร (Symmetry) และการขัดเงา (Polish) ซึ่งความสมดุลทั้งหมดนี้ ทำให้เพชร Heart & Arrow เปล่งประกายสะท้อนความงดงามได้อย่างเต็มที่เหนือกว่าเพชรทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แม้สังเกตด้วยตาเปล่าจะเห็นว่าเพชร Heart & Arrow มีประกายความงดงามมากที่สุด
เมื่อใช้กล้องพิเศษสำหรับส่องดูเพชร Heart & Arrow โดยเฉพาะ สิ่งที่ได้เห็นคือรูปแบบการเจียระไนแบบพิเศษ ซึ่งเมื่อมองผ่านกล้องจากด้านบน (face-up) จะเห็น pattern รูปลูกศร จำนวน 8 ดอก ซึ่งมีขนาดและสัดส่วนเท่ากันอย่างชัดเจน และเมื่อมองผ่านกล้องจากด้านล่าง(Bottom up)ก็จะเห็น pattern รูปหัวใจ 8 ดวงที่สมบูรณ์เช่นกัน การเจียระไนแบบพิเศษนี้เอง ที่ทำให้เพชร Heart & Arrowมีปริมาณแสงที่สะท้อนกลับออกมาสมบูรณ์แบบ
รูปสัญลักษณ์ลูกศร 8 ดอก และหัวใจ 8 ดวง นั้นมีความหมายลึกซึ้งควรค่าแก่การครอบครองเป็นอย่างยิ่งโดยประเทศในเอเชีย นั้นเชื่อว่าเพชร Heart & Arrow เป็น "The Stone of Lack" (อัญมณีแห่งความโชคดี ) ส่วนประเทศฝั่งตะวันตก เช่นยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้น เรียกเพชรนี้ว่า"The Proof of Love" (สัญลักษณ์แห่งความรัก)
แหวนเพชรแต่งงาน
Educationความรู้เรื่องเพชร
 
เพชรรูปทรงต่างๆ
 
                    ในสมัยเริ่มต้นเมื่อมีการนำเพชรมาทำเครื่องประดับ ก็เพียงนำก้อนผลึกเพชรมาประดับโดยไม่ได้มีการเจียระไนแต่อย่างใด กระทั่งมีการเริ่มต้นตัดโกลนเป็นรูปร่างและเริ่มมีการเจียรให้เกิดเหลี่ยมมุมตามแต่จะชอบเมื่อวิทยาการเริ่มเจริญก้าวหน้าก็มีการศึกษาและทำการกำหนดเหลี่ยมมุม สัดส่วนองศาต่าง ๆ ของเพชรเพื่อให้สามารถส่องประกายได้เต็มที่น้ำหนักของผลึกเพชรจะลดลงกว่า50%เมื่อผ่านกระบวนการเจียระไนและชักเงาเพื่อให้เกิดประกายแสงและความแวววาว เพื่อให้ได้เพชรที่เจียระไนมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากที่สุดช่างเจียระไนอาจต้องใช้ประสบการณ์และการพิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบจากการศึกษาพบว่ารูปแบบการเจียระไนเพชรที่ส่งผลต่อประกายความงามที่ดีที่สุดคือ รูปทรงแบบกลมเหลี่ยมเกสร (Round Shape : Brilliant Cut)
ขั้นตอนการเจียระไนเพชรรูปกลมเหลี่ยมเกสร
                    ขั้นที่1 ทำเครื่องหมายร่างเส้นแนวสำหรับการเจียระไนลงบนผิวผลึกเพชรด้วยน้ำหมึกอินเดียนอิงค์
                    ขั้นที่2 ตัดเพชรให้ได้ขนาดตามที่กำหนด
                    ขั้นที่3 ขัดโกลนเพชรให้ได้รูปทรงที่กำหนด
                    ขั้นที่4 เจียระไนเพชรที่โกลนแล้วให้เกิดเหลี่ยมมุมตามแบบ

รูปแบบการเจียระไนเพชร
                    การเจียระไนเพชรมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ความต้องการให้เกิดประกายหักเหและสะท้อนแสงที่ส่องออกมาให้ได้มากที่สุดภายใต้การรักษานำหนักเพชรให้ได้มากที่สุดด้วย แต่ในปัจจุบันมีการเจียระไนเพชรให้มีรูปทรงและรูปแบบที่ดูแปลกตามากยิ่งขึ้นซึ่งส่งผลให้ความงามด้านประกายแสงลดน้อยลงแต่ด้วยความที่เป็นเพชรจึงทำให้ความนิยมไม่ได้ลงลงมากนักขณะเดียวกันก็สามารถชดเชยด้วยสไตล์รูปแบบที่สอดคล้องกับความต้องการหรือบุคลิกภาพของผู้สวมใส่มากขึ้น
รูปกลม เหลี่ยมเกสร (Round Shape : Brilliant Cut)
เป็นรูปแบบมาตรฐานที่เหมาะกับทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
-
รูปสี่เหลี่ยม เหลี่ยมพรินเซสส์ (Princess Cut)
เป็นรูปแบบที่เหมาะกับสุภาพบุรุษ เพราะสะท้อนความมีรูปแบบกฎเกณฑ์
-
รูปหัวใจ (Heart Shape)
เป็นรูปแบบที่เหมาะกับสุภาพสตรี สะท้อนถึงความรัก ความอ่อนหวาน 
-
รูปหยดน้ำ (Pear Shape)
เป็นรูปแบบที่เหมาะกับสุภาพสตรี สะท้อนถึงความมีอิสระ
-
รูปมาร์คีส์ (Marquise Shape)
เป็นรูปแบบที่เหมาะกับสุภาพสตรี สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์
-
รูปไข่ (Oval Shape)
เป็นรูปแบบที่เหมาะกับสุภาพสตรี สะท้อนถึงความสุภาพเรียบหรู
-
รูปสี่เหลี่ยมมรกต (Emerald Shape)
สำหรับสุภาพบุรุษที่สุภาพเรียบหรู
-
รูปเรเดียน (Radiant Cut)
เป็นรูปแบบที่เหมาะกับสุภาพสตรี สะท้อนถึงความมีอิสระสร้างสรรค์
-

25Aug'56/3













































































































































































สร้อยคอเม็ดอิตาลี 3มิติ 2กษัติรย์ มีให้เลือกระหว่าง ยาว 18นิ้ว หรือยาว 24 นิ้วสวมคอได้ งานแบบร้านเพชรร้านทอง ชุบเศษทองคำแท้ และเงินแท้ ตัดลายเม็ดมะยมวิ้งๆ งานสวย ปราณีต พร้อมถุงกำมะหยี่

Inspire Jewelry สร้อยคอเม็ดอิตาลี 3มิติ 2กษัติรย์ มีให้เลือกระหว่าง ยาว 18นิ้ว หรือยาว 24 นิ้วสวมคอได้ งานแบบร้านเพชรร้านทอง ชุบเศษทองคำแท...