Showing posts with label หยก และหินชนิดอื่นๆ กับความเชื่อ. Show all posts
Showing posts with label หยก และหินชนิดอื่นๆ กับความเชื่อ. Show all posts

20111021

หยก และหินชนิดอื่นๆ กับความเชื่อ


 ทิเบต ดินแดนสวรรค์บนฟ้าที่เรียกขานกันว่า “หลังคาโลก” ดินแดนแห่งกงล้อมนตราอันศักดิ์สิทธิ์ สัมผัสบรรยากาศการนั่งรถไฟท่องเที่ยวบนเส้นทางที่สูงที่สุดในโลก ชมเทือกเขาคุนล้นและดินแดนที่ธรรมชาติสรรค์สร้างดุจแดนสวรรค์บนดิน

•เส้นทางรถไฟสายทิเบต-ชิงไห่ ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟบนที่ราบสูงที่สูงที่สุดและยาวที่สุดของโลก สร้างเสร็จเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ 2548 และเริ่มทดลองใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จด้วยดี โดยเส้นทางดังกล่าวเริ่มต้น จากเมืองซีหนิง (เมืองเอกมณฑลชิงไห่) ถึง เมืองลาซา (เมืองเอกเขตปกครองตนเองทิเบต) โดยส่วนหนึ่งของเส้นทางที่มีความยาวราว 960 กิโลเมตรได้สร้างอยู่บนความสูงมากกว่า 4,000 เมตรจนถึงสูงสุด 5,072 เมตรเหนือ ระดับน้ำทะเล ที่ส่วนใหญ่เป็นเขตที่ไม่มีผู้คนอาศัยและอากาศหนาวเย็น

   
หินทิเบต ข้อปฏิบัติในการสวมใส่
     ในการส่วนใสหินทิเบตนั้นต้องแสดงความเป็นเจ้าของก่อน คือ หินทุกชิ้นนั้นมีอดีตกับเจ้าของเดิมมาก่อน ต้องทำให้หินนั้นลืมอดีตก่อน  โดยการนำหินมาใสในอุ้มมือ  จากนั้นเปิดก๊อกน้ำให้น้ำไหลผ่านหินเบา ๆ สัก 3 นาที  เช็ดทำความสะอาด  แล้วกำใส่มืออธิฐาน  “บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของท่านแล้ว  ขอให้มาอยู่ด้วยกันเพื่อปกป้องคุ้มครอง  และอวยชัยให้พรสมบูรณ์  ด้วยโภคทรัพย์  และแคล้วคลาดจากโรคภัย  อันตรายใด ๆ ทั้งปวงเทอญ”  แล้วนำหินนั้นมาถูสัมผัสกับเนื้อตัวของเราแล้วนำไปแช่ไว้ในขันใส่น้ำ  แช่น้ำสักครึ่งวันทำให้ลืมอดีตให้สนิท  พร้อมกับรับเราเป็นเจ้าของใหม่
     สำคัญจะต้องอธิฐานจิตให้เขามาอยู่กับเราทั้งรูปธรรมและนามธรรม  เมื่อเราสวมใส่หินต่อจากนั้นหินก็จะซึมซับพลังจากตัวเราทั้งจิตวิญญาณของเราและของหิน ในการสวมใส่หินครั้งแรกนั้นอาจมีอาการมึนหัว, อ่อนเพลีย, ปวดเมื่อย  ถือว่าเป็นเรื่องปกติ  เพราะในการใส่หินแรก ๆ นั้นหินจะทำการปรับสภาพร่างกายของเราให้เข้าสู่ภาวะสมดุลจึกมีอาการข้างเคียงดังกล่าว แต่จะเกิดในบางคนและหินบางเม็ดเท่านั้นเช่น  ในคนที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงกับหินที่มีพลังมากเช่นหินสีแดง

ข้อปฏิบัติที่สำคัญ 
     1.ในขณะที่เสพเมถุนธรรม ควรที่จะถอดออกแล้ววางไว้ที่สูงกว่า
     2.เวลาที่สวมใสจะต้องเป็นคนที่มีสัจจะรักษาคำพูด

เพิ่มพลังและชำระล้างหิน
     การเพิ่มพลังด้านบวกและล้างพลังด้านลบให้กับของหินนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ควรปฏิบัติเป็นประจำ  ไม่ต่างไปจากการที่เราบูชาพระเครื่องแต่ไม่เคยคิดที่จะสวดมนต์หรือท่องมนต์อะไรเลย
พลังจากดวงอาทิตย์
     หินชนิดต่าง ๆ ที่ได้มาใหม่  ควรนำไปวางไว้กลางแจ้งเพื่อรับพลังจากดวงอาทิตย์  โดยการนำหินมาวางไว้บนวัตถุที่ทนความร้อนได้เนื่องจากหินบางชนิดมีคุณสมบัติในการรวมแสงจึงอาจทำให้วัตถุที่รองรับมีอุณหภูมิสูงจนอาจติดไฟได้  วิธีล้างหินแบบนี้เหมาะกับหินที่ได้มาใหม่  ยังไม่รู้ที่มาที่ไป  จึงควรที่จะล้างพลังด้านลบไว้ก่อน  แต่ปกติแล้วเราสวมใส่หินทุกวันก็ได้ซึมซับพลังจากดวงอาทิตย์อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องอาบแสงอาทิตย์  แต่ถ้าถูกเก็บไว้ในที่มิดชิดก็ควรนำมาอาบแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มพลังให้กับหินด้วย
การอาบพลังจากแสงจันทร์
     แสงจันทร์เป็นพลังแห่งความนุ่มนวล  เป็นพลังแห่งเพศหญิง  เหมาะสำหรับล้างหิน  โดยการนำหินไปวางไว้กลางแจ้งให้พ้นจากหลังคาบ้านในตอนกลางคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนพระจันทร์เต็มดวงขึ้น 15  ค่ำ   เพื่อให้หินซึมซับพลังจากดวงจันทร์และสะสมพลังแห่งความอ่อนโยนนุ่มนวลไว้  อีกทั้งได้รับพลังจากน้ำค้าง  โดยธรรมชาติของดินก่อนที่จะเป็นหินนั้นต้องถูกทับถมมาหลายพันล้านปี  ถูกแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ส่องมานามแล้ว  การอาบแสงจันทร์จึงเป็นการช่วยเพิ่มพลังให้กับหิน
ทาน้ำมันจันทน์
     เป็นการเพิ่มพลังให้กับหินโดยลูบไล้เนื้อหินด้วยน้ำมันจันทน์แท้  เพื่อเป็นการรักษาสภาพผิวเนื้อหิน  และซึมซับน้ำมันจันทน์ไว้เพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติของหิน  วิธีนี้จะช่วยขับพลังที่เราไม่ต้องการออกไปจากหิน  และกลิ่นหอมนั้นมีคลื่นความถี่ของเสียงที่กังวานสูง  จะช่วยเพิ่มเสียงกังวานลงไปในผลึกหินได้
การสวดมนต์
     นำหินมาไว้ในมือแล้วพนมมือสวดสรรเสริญพุทธคุณ (อิติปิโส) แบบไทย เมื่อจบแล้วสวดเพิ่มอีกหนึ่งบทคือ โอม ลามะโบด   ฮุม  หรือ  โอม มะ นี เป เม ฮุม    เสียงการสวดมนต์นั้นช่วยขจัดพลังด้านลบได้
การอาบควันธูป
     จุดธูปเพื่อรมตัวหิน  หรือไปสถานที่ที่มีคนกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์  และจุดธูปไหว้พระหรือห้องพระ  หิ้งพระ  ที่บ้าน  ให้นำหินไปวนเหนือกระถางธูป  วนซ้าย 3 รอบ   แล้ววนขวา 3 รอบ
ชำระล้างโดยให้น้ำธรรมดาไหลผ่าน
     ล้างกับน้ำฝนเวลาที่ฝนตกหนักได้พักหนึ่งแล้วช่วงเวลาดังกล่าวธาตุทั้ง 4 จะปล่อยพลังธรรมชาติที่มีอนุภาพมากออกมา หรือถ้าไม่สะดวกให้นำหินไปวางรองไว้ใต้ก๊อกน้ำ โดยเปิดน้ำให้ไหลผ่านหินประมาณ 10-20 นาที ก็ได้
ล้างด้วยน้ำเกลือหรือน้ำทะเล
     นำหินไปใส่ไว้ในแก้วใส  แล้วนำถ้วย กาละมัง  ขัน  หรืออะไรก็ได้ที่ใหญ่กว่าแก้ว  ใส่น้ำลงไปแล้วละลายเกลือลงไปให้เป็นน้ำเกลือ  แล้วนำแก้วที่ใส่หินไว้มาวางลงตรงกลาง  โดยระดับน้ำเกลือต้องสูงกว่าตัวหิน  หรือนำไปล้างน้ำทะเลก่อนแล้วจึงนำไปแช่ในน้ำจืดภายหลัง  น้ำจะช่วยดูดพลังด้านลบที่สะสมในหินออกไป  ส่วนเกลือมีคุณสมบัติในการจำแนกพลังงานในหินให้ทำงานกับร่างกายและจิตใจอย่างมีประสิทธิภาพ

 ความหมายของลาย
     หิน 1 ตา ( 1 Eye dZi ) หินแห่งสติปัญญา ช่วยชี้นำความสว่างไสวมาให้ ทำให้เฉลียวฉลาด และทำให้สมหวังดังสิ่งที่ปรารถนาในชีวิต ทำให้จิตใจผ่องใส ดีมากสำหรับเด็กหรือผู้ที่กำลังศึกษา เป็นการประกันความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น และยังเป็นหินแห่งความสงบสุขอีกด้วย 
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : มะเมีย มะแม วอก
     หิน 2 ตา ( 2 Eyes dZi ) หินแห่งความรัก และความสามัคคี ช่วยให้มีความสุขในครอบครัว คู่รัก สามีภรรยารักใคร่กันมากขึ้น ช่วยให้คู่รักได้รับความสุขราบรื่น ช่วยประสานรอยร้าวในเรื่องความสัมพันธ์เกี่ยวกับคนรอบข้าง ได้รับการนับหน้าถือตาในสังคม และหน้าที่การงาน นอกจากนี้หิน 2 ตา ยังนำมาซึ่งความรอบรู้และความอดทนทำให้ใจเย็นขึ้น และได้รับความสำเร็จในสิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ระกา จอ กุน
     หิน 3 ตา ( 3 Eyes dZi ) หินแห่งความสุข มั่งมี และอายุวัฒนะ เปรียบเสมือนเทพ ฮก ลก ซิ่ว นำความสิริมงคลมาแก่ผู้สวมใส่และครอบครัว ทำให้เห็นโอกาสและไขว่คว้าได้ มีเทพเจ้าโชคลาภคอยดูแล นำมาซึ่งความร่ำรวย ช่วยให้ผู้สวมใส่เอาชนะใน 3 สิ่ง คือ ความอยาก ความเกลียด ความเขลา และยังขจัดอุปสรรคทั้งหลายได้อีกด้วย
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : เถาะ มะโรง มะเส็ง
     หิน 4 ตา ( 4 Eyes dZi ) หินแห่งการปกป้องคุ้มครองภัยได้รับพรจากพระโพธิสัตว์ทั้ง 4 พระองค์อันได้แก่ พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (พระมหากรุณา) , พระมหาโพธิสัตว์มัญชุศรี (ปัญญาบารมี), พระมหาโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (ความเจริญงอกงาม) และ พระสมันตรภัทร (พระธรรมคำสั่งสอน) จะได้รับแต่สิ่งที่ดีงาม พ้นจากความชั่วร้าย
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : เถาะ มะโรง มะเส็ง
     หิน 5 ตา ( 5 Eyes dZi ) หินแห่งโชคลาภ ร่ำรวย มั่งคั่ง เป็นตัวแทนเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง 5 องค์จากทั้ง 5 ทิศ ช่วยให้ผู้สวมใส่โชคดี มีเงินทอง ความมั่งคั่ง ร่ำรวย และอายุยืน มีอนาคตที่ดี ประสบความสำเร็จ ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งที่น่ายินดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการผลประโยชน์ด้านการเงิน และมีอีกแบบ คือ หิน 5 ตาสายฟ้า ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงการได้มาอย่างรวดเร็ว
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : มะเมีย มะแม วอก
     หิน 6 ตา ( 6 Eyes dZi ) หินแห่งการปัดเป่ากรรมร้าย และสิ่งชั่วร้าย ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถเอาชนะอำนาจด้านลบทั้งหลาย และช่วยให้รอดพ้นจากเคราะห์ร้าย ทั้ง 6 เช่น การสูญเสียทรัพย์สิน ความเจ็บปวด อุบัติเหตุ การฉ้อโกง การถูกจี้ปล้น และเสียคนที่เป็นที่รัก ช่วยขจัดอุปสรรคปัญหา ที่ทำให้โครงการต่าง ๆ ล้าช้า
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : มะเมีย มะแม วอก
     หิน 7 ตา ( 7 Eyes dZi ) หินแห่งความสำเร็จ เป็นตัวแทนขององค์พระพิฆเนศ โดยได้รับพรทั้ง 7 ประการอันได้แก่ ความสมบูรณ์ มีชื่อเสียง มีหน้าที่การงานดี มีความมั่งคั่ง ร่างกายแข็งแรง อายุวัฒนะ และมีความสัมพันธ์หรือการคบค้าสมาคมที่ดี ลูกค้าที่ซื้อไปใส่บางท่านก็ซื้อให้บุตรหลานใส่ให้ประสบความสำเร็จในด้านการเล่าเรียน ซึ่งก็ประสบผลไปได้ด้วยดี
เหมาะกับปีเกิด : มะเมีย มะแม วอก
     หิน 8 ตา ( 8 Eyes dZi ) หินแห่งการปกป้องจากพระโพธิ์สัตว์ทั้ง 8 ทิศ เชื่อว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองจากทั่วสารทิศ ให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ มีผู้ใหญ่คอยอุปถัมภ์ค้ำจุน หิน8 ตา ยังเป็นหินแห่งการนำความโชคดีมาให้ กับตัวเลข 8 เป็นตัวแทนแห่งอำนาจวิเศษ 8 อย่าง บนสรวงสวรรค์ ช่วยเลือกทางเดินหรือตัดสินใจได้ถูกต้อง นำความสงบสุข ปราศจากภัยอันตราย เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ชวด ฉลู ขาล
     หิน 9 ตา ( 9 Eyes dZi ) หินแห่งโอกาส เชื่อกันว่า ทำให้ผู้สวมใส่ได้รับบุญ 9 ประการ ซึ่งจะช่วยชำระกรรมชั่ว มลายอุปสรรคต่างๆ และสิ่งที่กีดขวางความสำเร็จ ช่วยเพิ่มอำนาจ บารมี ชื่อเสียง ลาภยศ ช่วยนำความมั่งคั่ง และลาภลอยมาให้ ทำให้ได้รับผลประโยชน์ที่เพิ่มพูน ขึ้นอย่างรวดเร็วเกินคาด นอกจากนี้หิน 9 ตา ยังช่วยปกป้องคุ้มครอง ผู้สวมใส่ให้รอดพ้นจากพลังด้านลบ หรือสิ่งชั่วร้ายต่างๆอีกด้วย
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : เถาะ มะโรง มะเส็ง และทุกปีเกิด 
     หิน 10 ตา ( 10 Eyes dZi ) หินแห่งการนับหน้าถือตา ช่วยให้ได้รับการนับหน้าถือตาในแวดวงสังคม ทำการสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขจัดอุปสรรคต่างๆออกไป หิน 10 ตา มีบทบาทสำคัญในการชำระกรรมในอดีต และปัจจุบัน เพื่อส่งผลให้มีความโชคดีในอนาคต ช่วยเสริมสร้างสติปัญญา และเสริมความสามารถในการเป็นผู้นำ ช่วยในการทำงาน เป็นหมู่คณะ
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ระกา จอ กุน
     หิน 11 ตา ( 11 Eyes dZi ) หินแห่งมนตรา เชื่อว่าเป็นหินที่รวมพระเจ้าแห่งความมั่งคั่งทั้ง 5 ภาค และ 6 มนตราทิเบตว่า “โอม มา นี ปัด เม ฮุง” ของพระอวโลติเกศวร หรือพระแม่กวนอิม พลังลึกลับของฮินดู ช่วยนำมาซึ่งความโชคดี มั่งคั่ง ร่ำรวย สติปัญญา และการกระทำที่ดี ปกป้องคุ้มครองจากพลังด้านลบ
โอม สีขาว คือองค์ปัญญาของท่าน ฌานบารมีของท่านได้ขจัดความเฉื่อยชา หลงในความสุขสบายของอัตตา
มา สีเขียว คือเมตตาจิตของท่าน ขันติบารมีของท่านได้ขจัดความริษยา การแสวงหาชัยชนะด้วยเล่ห์กลต่างๆ
นี สีเหลือง คือกาย วาจา ใจ การกระทำ และบุญบารมีของท่าน ศีลบารมีของท่านได้ขจัดความยึดติดในตน ความปารถนาไม่สิ้นสุด
ปัด สีฟ้า คือเสมอภาพ ปัญญาบารมีของท่านได้ขจัดความโง่เขลา ชาด้าน เก็บกด
เม สีแดง คือความอิสระ ความมั่งคั่ง ทานบารมีของท่านได้ขจัดความโลภ ความหิวกระหาย
ฮุม สีดำ คือมหาเมตตากรุณา วิริยะบารมีของท่านได้ขจัดความโกรธแค้น การต้องการทำลาย
ผู้สวมใส่หินดี.ซี.ไอ. 11 ตาจึงเหมือนได้รับความสุขทุกประการนั่นเอง 
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : มะเมีย มะแม วอก
     หิน 12 ตา ( 12 Eyes dZi ) หินแห่งความมั่นใจ ช่วยให้เอาชนะความหวาดกลัวต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นจริง หรือจากจินตนาการของตัวเอง เพิ่มพลังด้านบวกให้กับผู้สวมใส่ เป็นสัญลักษณ์ของการบรรลุถึงสิ่งที่ปรารถนา และนำพาซึ่งชื่อเสียงและเกียรติยศมาให้ จะได้รับการนับหน้าถือตาในแวดวงสังคม ทั้งยังช่วยให้ได้รับโอกาสใหม่อยู่เสมอ
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ระกา จอ กุน
     หิน 13 ตา ( 13 Eyes dZi ) หินแห่ง 8 มงคลสู้ห้าโชคลาภ สมดังปรารถนาทุกประการ และยังยังช่วยให้สัมฤทธิ์ผลสำเร็จในเร็ววัน
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : เถาะ มะโรง มะเส็ง
     หิน 15 ตา ( 15 Eyes dZi ) หินแห่งการทำธุรกิจ และการงาน ช่วยดึงพรสวรรค์จากผู้สวมใส่ขึ้นมาให้ได้ใช้ประโยชน์สูงสุด ทำให้ประสบความสำเร็จ ราบรื่นในทุกด้าน ทั้งยังช่วยนำโชคด้านธุรกิจมาให้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังทำโครงการใหญ่ ที่มีคู่แข่ง และความเสี่ยง
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ระกา จอ กุน
     หิน 18 ตา ( 18 Eyes dZi ) หินแห่งความสำเร็จ ช่วยให้ประสบผลสำเร็จสูงสุดตามความมุ่งหวังในชีวิต ได้รับทั้งชื่อเสียง และโชคลาภ ความมั่งมี, มีความสุขอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เหมาะสำหรับผู้ทุกปีเกิด
     หิน 21 ตา ( 21 Eyes dZi ) หินแห่งพลัง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้นำ เชื่อว่าเป็นหินแห่งพลัง เนื่องจากเป็นพลังความสำเร็จระดับสูงสุดทั้งโลกมนุษย์ และเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ เป็นหินที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังสูงสุด อาทิ ผู้นำในองค์กรต่างๆ นายพลแห่งกองทัพ ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือ ผู้นำสูงสุดทางธุรกิจ หินชนิดนี้นำมาซึ่งความโชคดีอย่างราบรื่น และสมหวังตามต้องการทุกประการ
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ชวด ฉลู ขาล
     หินเกี่ยวเงินเกี่ยวทอง ( Money and Luck Hook dZi ) เป็นหินโชคลาภและเงินทองอย่างหนึ่ง นอกจากผู้สวมใส่จะเกิดโชคลาภแล้วยังสามารถเก็บรักษาไม่ให้รั่วไหลไปไหน 
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ชวด ฉลู ขาล
     หินใบโพธิ์ ( Bodhi dZi ) มีความหมายเกี่ยวกับการขจัดภัยพิบัติ หายนะและอุปสรรคต่าง ๆ การยึดเอาหลักเมตาธรรมในการดำเนินชีวิต และปราศจากโรคภัยต่าง ๆ 
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินดอกบัว ( Lotus dZi ) หินแห่งความสงบสุข ช่วยให้ผู้สวมใส่ใจเย็น มีจิตใจที่บริสุทธิ์โอบอ้อมอารี และชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีในร่างกายและจิตใจ ทำให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ชวด ฉลู ขาล
     หินแจกันแห่งโภคทรัพย์ ( Nectar dZi ) ซึ่งเป็น 1 ใน 8 สิ่งสำคัญในทิเบต โดยแจกันดังกล่าวมีทรัพย์สมบัติที่ใช้ไม่หมด แม้มีการใช้ไปก็จะกลับมาอยู่เสมอ จึงนำมาซึ่งสิริมงคลต่อผู้สวมใส่ ป้องกันทรัพย์สมบัติสูญหาย รวบรวมสมบัติให้มั่นคง และช่วยให้การค้าขานเจริญรุ่งเรือง
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ระกา จอ กุน
     หินวัชระ ( Watchara dZi ) มีความหมายถึงการปกป้องคุ้มภัย ในอดีตนักรบพระโพธิสัตว์ใช้วัชระในการป้องกันแจกันแห่งโภคทรัพย์ จึงสามารถแปลได้ว่าการป้องกันหรือการขจัดสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ หินตาวัชระจะใช้สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดหรือในภาษาทิเบตเรียกว่า ตาเพชร อันประกอบด้วยตาเพชร 6 ตา ซึ่งก็คือ หิน 6 ตาอีกประเภทหนึ่ง
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ชวด ฉลู ขาล
     หินกระดองเต่า ( Tortoise Shell / Longevity dZi ) หมายถึงการมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ พ้นจากอันตรายทั้งปวง อายุมั่นขวัญยืน มีการเขียนลายกระดองเต่าผสมกับลายตา เช่น หิน 6 ตากระดองเต่า หรือ หิน 9 ตากระดองเต่า
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : เถาะ มะโรง มะเส็ง
     หินฟ้าดิน ( Sky and Earth dZi ) ใช้สัญลักษณ์วงกลมแทนฟ้า และใช้สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมแทนดิน มีความหมายว่าการรวมกันของฟ้าและดิน ทำให้ปัดเป่าเคราะห์ร้ายต่าง ๆ ออกไป และเปรียบเหมือนการเริ่มต้นจากที่ต่ำสู่ที่สูง ความสำเร็จในธุรกิจและหน้าที่การงาน ช่วยให้หลุดพ้นจากฐานะต่ำต้อย นำไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ชวด ฉลู ขาล
     หินเขี้ยวเสือ ( Tiger Tooth dZi ) หมายถึงความเข้มแข็ง สามารถหลุดพ้นจากเคราะห์ร้ายต่าง ๆ ได้ แก้เคล็ด แก้โดนของ ปัดเป่าอุปสรรค มีสุขภาพที่แข็งแรง ทุกสิ่งสมดังใจหมาย นำพาชื่อเสียงเข้ามาในชีวิต มี 2 แบบคือ เขี้ยวเสือเดี่ยว กับเขี้ยวเสือคู่
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : มะเมีย มะแม วอก
     หินผู้สูงศักดิ์ ( Monsignor dZi ) ขจัดพลังของผู้ที่ไม่ประสงค์ดีต่อผู้สวมใส่ มีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ ทำให้สามารถช่วยเหลือในหน้าที่การงาน และชีวิตประจำวันได้ ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุขและรักใคร่ปรองดองกัน 
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : เถาะ มะโรง มะเส็ง
     หินนกวิเศษ ( Garuda Form ) นกวิเศษ (Garuda) ตัวแทนผู้ปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ปัดเป่าเคราะห์ร้าย และสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ 
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ระกา จอ กุน
     หินสวัสดิกะ ( Swastika Sign dZi ) เครื่องหมายแห่งคุณธรรม เป็นสัญลักษณ์ 1 ใน 55 ของพระพุทธเจ้าซึ่งมอบแต่สิ่งที่ดีมาให้กับมวลมนุษย์
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินหมวกลามะ ( Dharma Hat ) ช่วยให้สมความปรารถนา สบายอารมณ์เป็นที่ต้อนรับของทุกคนที่พบเห็น นำมาซึ่งพลังอันยิ่งใหญ่ ช่วยขจัดโรคภัยไข้เจ็บ เพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวย และอายุยืนยาว การผสมผสานความรู้, อำนาจ และความมีชื่อเสียง
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ระกา จอ กุน
     หินลายคลื่น ( Wave dZi ) เหมือนริ้วรอยบนน้ำหมายถึงโชคลาภที่ไหลมาเทมา ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ประสบแต่ความร่มเย็นเป็นสุขทุกแห่งหน
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ชวด ฉลู ขาล
     หินหรู ยี่ ( Ru Yi dZi ) เป็นหินนำโชคพิเศษสำหรับผู้ที
1. แสวงหาความร่ำรวยจากกำไรทางการค้า
2. แสวงหาการเลื่อนตำแหน่ง
3. ปรับปรุงนิสัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : ชวด ฉลู ขาล
     หินแถบสามสี ( 3-Color dZi ) มีแถบสี 4 แถบแบ่งหินออกเป็น 3 ส่วนนำมาซึ่ง 
1. เป็นการเร่งความโชคดีในอนาคต ให้เกิดเร็วขึ้นตลอดเวลา
2. ช่วยให้การทำงานราบรื่นและปราศจากอุปสรรค
3. ขจัดปัญหา, อุปสรรคและความโชคร้าย 
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลิกโอกาสและนำมาซึ่งความสำเร็จ
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินลายทางหรือลายเส้น ( Striped dZi ) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงโชคดี และหมุนเวียนความมั่งคั่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่พึงพอใจกับสภาพปัจจุบันของตนเอง และต้องการการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินดาว ( Star dZi ) ช่วยเสริมรากฐานะให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น นำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวย
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินเจ้าแม่กวนอิม ( Kwan Yin dZi) เป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตากรุณา ช่วยให้เอาชนะความเจ็บป่วย, ปัญหาครอบครัว, ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์, ปัญหาการงาน, ปัญหาภายในจิตใจ, ปัญหาเกี่ยวกับเด็ก. ขจัดความกดดันต่าง ๆ 
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินค้างคาว 5 ตัว ( 5 Bats dZi) หมายถึงการประสบความสำเร็จในอาชีพ, ความมั่งคั่งร่ำรวย, อายุยืนนานและสัมพันธภาพที่ดี 
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินตามังกร ( Dragon Eyes dZi ) หมายถึงมีโชคลาภบารมีมากล้น ช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายและเสริมสร้างบารมีให้แก่ผู้สวมใส่ เป็นผู้นำทุกระดับของประเทศ 
เหมาะสำหรับผู้ที่ในปีเกิด : เถาะ มะโรง มะเส็ง
     หินหมอยา ( Medicine dZi ) มีคุณสมบัติในการรักษาอาการเจ็บป่วยและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ผู้สวมใส่มีอายุยืนยาว
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินหยิน-หยาง ( Yin Yang dZi ) หมายถึงสิ่งที่คู่กันในธรรมชาติ คือพลังซึ่งคู่กันหากเท่ากันจึงจะสร้างความสมดุล และนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ช่วยให่ผู้ที่สวมใส่มีความสุขทั้งกายและใจ ปรอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินไฉ่ซิ่งเอี๊ย ( Chi Sing Ear dZi ) หมายถึงมีเทพเจ้าแห่งโชคลาภคอยคุ้มครอง นำมาซึ่งโชคลาภและความร่ำรวย
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินภูเขา หมายถึงสร้างความมั่นใจขจัดอุปสรรคในชีวิต
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินสุริยัน-จันทรา หมายถึงการนำมาซึ่งความสำเร็จมั่นคงนา ๆ ประการ
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด
     หินดินน้ำลมไฟ หมายถึงแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
เหมาะสำหรับทุกปีเกิด

ด้วยฤกษ์ยามการสร้างที่ดีนี้แล จึงทำให้หินทิเบต มีความขลังศักดิ์สิทธิ์
เช่นเดียวกับพระเครื่องพระกริ่งของทิเบต เมื่อสร้างเสร็จ หินบางเม็ด
ลามะก็นำเอามาสวมใส่เอง และนำมาสวดมนต์ด้วยทุกวัน
จึงเป็นหินที่มีความขลังมากเป็นพิเศษ เกินที่จะบรรยาย และผู้ใด
มาได้หินเม็ดที่ลามะไปใช้ ยิ่งจะหวงแหน เพราะถือว่าเป็นของล้ำค่า
หายากมากๆ ราคาไม่ต้องพูดถึง แพงหูดับตับไหม้ > >>>
หินทิเบตทุกเม็ด จะมีพลังชี่ พลังนี้เกิดจากการสวดมนต์
การสร้างด้วยจิตอันแน่วแน่บริสุทธิ์และเนื้อหินที่มีความศักดิ์สิทธิ์
พลังชี่ เป็นพลังที่มีอานุภาพสูง สามารถบันดาลโชคลาภ
การเงินการงาน และบำบัดโรค ได้อย่างอัศจรรย์
ใครที่เคยเรียน ศาสตร์ของ ฮวงจุ้ย จะต้องรู้จักพลังชี่ เป็นอย่างดี
จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอีกต่อไปว่า ทำไม เมื่อได้บูชาสักการะหินทิเบต
แล้วย่อมจะมีแต่ความเป็นสิริมงคล และความเจริญโภคทรัพย์มาสู่ในชีวิต
ของเราท่านทั้งหลายทั้งปวง
พลังของหินทิเบต ไม่เคยคิดทำร้ายผู้บูชาเลย เว้นเสียแต่ว่าผู้นั้น เป็นคน
ที่มีพฤติกรรมไปในทางทุจริตต่อสัมมาอาชีพ หรือประกอบอาชีพอบายมุข
ทั้งปวง บอกเลยว่า กลุ่มประกอบการอาชีพอบายมุขและคนที่ประพฤติทุจริต
อย่าได้นำเอาไปสวมใส่เป็นอันขาด เพราะพลังจากหินนั้น จะไม่ส่งผลอันใดเกื้อหนุนเลย
แม้แต่น้อย เหมือนกับห้อยหินเปล่าๆ นอกจากนี้ ลวดลายของหินทิเบต
ที่ปรากฏ นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิด อำนาจพลังชี่อันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นแก่ผู้ที่สวม

ประวัติความเป็นมาของหินทิเบต 
     dZi ปรากฏในสมัย 3,000-1,500 ปีก่อนคริสตกาล ในอินเดียโบราณมีชนเผ่าอารยันอาศัยอยู่  ผู้คนในสมัยนั้นนับถือและสวดอ้อนวอนพระเจ้า  ใช้เวทย์มนต์  มีการแกะสลักหินเป็นรูปสัตว์และสัญลักษณ์อื่น ๆ เพื่อทำให้วิญญาณบริสุทธิ์  หินในสมัยนั้นเรียกว่า เวด้า (Veda)  เริ่มแรกลวดลายนั้นเกิดจากสภาพแวดล้อมและความรุนแรงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ  ต่อมาพวกเขาจึงได้คิดวิธีการรักษาโรคร้ายโดยใช้หินที่แกะลวดลายต่าง ๆ  นำมาสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
     หินdZi  ในภาษาทิเบต  มีความหมายว่าสวยงาม  อำนาจ  ร่ำรวย  ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ไมซีก้า (Meiziga) ในสมัยฮ่องเต้ถังไท่จง  พระธิดาของพระองค์ได้อภิเษกสมรสกับกษัตริย์ของทิเบต  พระธิดาได้นำพระพุทธรูปจากอินเดีย  เป็นสินสมรส  และได้ประดิษฐานไว้ที่วัดโจคังในเมืองลาซา  ชาวทิเบตได้ใช้หินdZi มากกว่าร้อยเม็ดฝังไว้ในองค์พระ
     ในบันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวว่าได้มีการติดต่อกันระหว่างทิเบตและยูหยวน  และมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันดังนั้นตำนานการทำหินdZi  จึงมีการถ่ายทอดกันมาหลายรุ่นนถึงปัจจุบัน
     หินdZi พบมากในประเทศแภบเทือกเขาหิมาลัย เช่น ทิเบต ทิเบตตะวันออก ภูฏาน สิกขิม ลาดัค ชาวทิเบตเรียกอีกชื่อว่า เทียนจู ย้อนไปเมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว  ชาวทิเบตพบว่ามีสนามแม่เหล็กรอบ ๆ หินนี้จึงนำมาทำก้อนกลม ๆ และแบบต่าง ๆ แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีเทคนิคในการทำมากนัก  จึงได้หินที่มีลายตื้น ๆ ต่อมาชาวทิเบตได้วาดลวดลายหินนำโชคหลาย ๆ ลายเช่น แจกันโภคทรัพย์ ดอกบัว  ลายเขี้ยวเสือ  ตาหลาย ๆ แบบ และลายเส้น ฯลฯ แล้วนำไปเผาด้วยความร้อนสูง  เพื่อให้ลวดลายซึกเข้าไปลึก  ถ้าหินdZi ได้ผ่านการสวดหรือปลุกเสกโดยพระผู้มีวิชาหรือปรมาจารย์ทางลัทธิเต๋า  จะทำให้มีพลังวิเศษ  กล่าวกันว่าเฉพาะผู้ที่มีบุญวาสนาเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ครอบครองหินนำโชคนี้
     ส่วนประกอบของหินdZiแท้  ทำจากหินอาเก็ต เรียกว่า คาลซีโดนี (Chalcedony) มีชื่อทางเคมีว่า ซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) หินทิเบตแท้จะปล่อยสนามแม่เหล็กที่มีพลังงานสูงมากออกมาลักษณะภายนอกจะแบ่งได้ 4 ชนิด ได้แก่ หินสีแดงซึ่งอยู่ลึกที่สุดของภูเขาขณะเดียวกันก็ทีค่าพลังวัตรและมีมูลค่ามากที่สุด  นอกจากสีแดงยังมีหินสีดำ  หินสีดำขาว  และหินสีขาวหรือสีใสซึ่งอยู่ชั้นนอกสุดที่ระดับความลึกประมาณ 2-3 เมตร

ตำนาน 2.
คราหนึ่งองค์ศิวะเทพ เสด็จผ่านมาประทับ
เหนือน่านฟ้าทิเบตแล้วเครื่องประดับอันงดงามที่กาย
ได้ร่วงหล่นลงมา เมื่อมาถึงพื้นธรณีของทิเบต
ก็กลายเป็นตัวหนอนที่มีขนาดกว้างยาวเท่านิ้วหัวแม่มือ
โดยมีหัวมนคล้ายๆหัวขบวนรถไฟฟ้าช่วงกลางลำตัว
เป็นเส้นตรงขนานพื้นและด้านปลายก็มน
กำลังคลานอยู่ที่พื้นด้วยองค์ลามะไม่เคยเห็นหนอน
ชนิดนี้มาก่อนจึงใช้จิตที่สำเร็จจากการฝึกกสิณไฟ
เพ่งลงไปจึงทราบด้วยฤทธิ์ว่า มิใช่หนอนธรรมดาเสียแล้ว
จึงเอาแป้งฝุ่นจากในย่ามใส่กำมืว่าคาถามนตรา
แล้วเสกแป้งเป่าลงไปที่ตัวหนอนจ้าตัวหนอนนั้นเลยแข็ง
กลายเป็นหินพร้อมกับมีผงแป้งขาวๆเกาะติดอยู่ทั่วทั้งตัว
และเป็นลวดลายต่างๆที่ปรากฏเป็นแบบหินทิเบตนั่นเอง.
ต่อมาเครื่องประดับขององค์พระศิวะไม่เคยล่วงหล่นมาอีกเลย
ลามะจึงได้นำเอาหินชนิดหนึ่งที่เป็นต้นตระกูลของหยก
เรียกว่าหยกฟ้าแต่ฝรั่งเรียกว่าอาเกตนำเอามาฝน
ให้มีลักษณะมนเรียวยาวแล้วเขียนลวดลายลงไปบนหิน
การเขียนด้วยสีลงไปที่หินทิเบตังไม่ทราบแน่ชัดว่า
เอาสีขาวของอะไรมาเขียนจึงได้ติดแน่นฝังลงไปที่เนื้อหิน
ไม่หลุดลอกออกแม้ผ่านกาลเวลามานานนับหลายร้อยหลายพันปี

แม้แต่การเจาะรูนั้น ก็ยังไม่ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร
ที่รูทั้งสองจึงได้มาทะลุถึงกันได้ชาวตะวันตกเคยนำเอาไปพิจารณาศึกษา แล้วมีความเชื่อว่า สีที่เขียนนั้นน่าจะเป็นสีที่เกิดจากการนำเอาหลายสิ่งจากธรรมชาติมาผสมผสานกันแต่ก็ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคืออะไร นอกจากสันนิษฐานภายในห้องทดลองว่าเป็นสีที่มีความคล้ายคลึงคาบอนน์ ที่นำเอาไปทำนิวเคลียร์

สิ่งหนึ่งที่สังเกตรูทั้งสองข้างของหินทิเบต
จะมีขนาดไม่เท่ากันและรูจะไม่ตรงกัน
เหมือนการขุดอุโมงค์ที่สามารถหยิบขึ้นมาดู
แล้วส่องทะลุถึงกันได้เป็นทางตรง
กลับกัน รูจะมองเห็นถึงกันแต่ไม่ตรงกัน
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ต้องเจาะรูทีละข้าง
แล้วให้ทั้งสองมาทะลุกัน
หินทิเบตจึงเป็นเครื่องรางของขลังและเครื่องประดับ
ขององค์ลามะไปในตัว และที่สำคัญ
สามัญชนธรรมดาจะไม่มีสิทธิ์ที่จะได้สวมใส่
เพราะถือเป็นของชนชั้นสูง
ด้วยเหตุนี้ ใครที่มีหินทิเบตครอบครอง
จึงกล่าวกันว่าเป็นผู้มีบุญบารมีและวาสนาอย่างไม่ต้องสงสั>>
การที่จะนำเอาหินในแต่ละเม็ดมาทำการสร้างนั้งจะต้องมีการวัดค่าของพลังในตัวหินนั้นก่อนด้วย หากหินมีพลังมาก ก็ จะนำไปสร้างเป็น หินที่มีตามาก เช่น 10 ตา 12 ตา 13 ตา 15 ตา เป็นต้น ส่วนคนสมัยก่อนเค้า ใช้อะไรมาวัดนั้นไม่ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่อย่าไปดูถูกภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนเชียวนะ บางอย่างปัจจุบันนี้ยังทำอย่างเค้าไม่ได้เลย บางอย่างเค้าค้นพบมาก่อนคนสมัยนี้อีก ดูอย่างพิระมิด ซิเค้าทำกันยังไงคนในปัจจุบันยังงงเป็นไก่ตาแตกเลย มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า หินที่นำเอามาทำนั้นได้มาจากภูเขาหิมาลัยทั้งในบริเวณเทือกเขา และบริเวณโดยรอบ ชาวฮินดูเชื่อว่าต้นทางแห่งแม่น้ำคงคา ไหลมาจากเขาหิมาลัย แม่น้ำคงคาจึงเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ชาวฮินดูเชื่อว่าภูเขาหิมาลัย เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สถิตของ แหล่งทวยเทพทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ลามะจึงได้เอาหินจากภูเขาหิมาลัย มาทำเครื่องราง

ในทางวิทยาศาสตร์ได้นำเอาหินทิเบตไปตรวจเช็กปรากฏว่า หินแต่ละก้อนมีค่าในการวัดของทางวิทยาศาสตร์แกร่งและแข็งมาก ราวๆ 7-8.5 เชื่อว่าเป็นหินอุกกาบาต จากดาวพระอังคาร ตกลงมายังพื้นโลกกระแทก กับเทือกเขาหิมาลัยอย่างแรง ทำให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ และเกิดแร่ธาตุ 14 ชนิด ของสะเก็ดดาว และพบว่าส่วนผสม ของแร่ธาตุที่มีมากสุด คือ Ytterbium ( ฮีทเรียม ) และมีสวนผสมของ สารแมงกานิสและสารแมกนีเซี่ยมอยู่ หลังจากน้ำจากภูเขาไฟแห้งและแข็งตัวเป็นหิน ชาวธิเบตจึงนำมาทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ สวมใส่บูชาเพื่อขจัดสิ่ง ชั่วร้าย และยังใช้ในการแก้โรคเกี่ยวกับโลหิต , บำบัด โรคชัก , เพิ่มพลังต้านทาน แก่ร่างกาย

หลาย คนสงสัยว่ามันจะรักษาโรคได้อย่างไร นั่นเป็นความเชื่อที่ผู้คนเชื่อถือกันมานาน เค้าว่าไว้อย่างนั้น แต่ถ้าจะเอาหลักทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงให้เป็นเหตุเป็นผลแล้วละก็ น่าจะเป็นสาเหตุจากที่ หินธิเบตมีคุณสมบัติพิเศษ มีพลังสนามแม่เหล็กมากกว่าหินประเภทคริสตัลถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการทดลองในห้องวิทยาศาสตร์ แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับว่า จะมีแรงดูดเหมือนเราเอา แม่เหล็กมาดูดกันเล่นตอนเด็กๆ มันจะเป็นเพียงแม่เหล็กอ่อนๆ เท่านั้น เป็นแม่เหล็กธรรมชาติ เหมือนที่เวลาเราใช้เข็มทิศ เข็ม N มันก็จะชี้ไปทางทิศเหนือตลอดแต่ว่าเราไม่เห็นรู้สึกเลย นาฬิกาเราไม่เห็นโดนดูไปเลย ลักษณะของแม่เหล็กธรรมชาตินั้นไม่ได้แบ่งคั่ว + N คั่ว - S อย่างชัดเจนเหมือนแม่เล็กที่เรารู้จัก ด้านหนึ่งเป็น + N อีกด้านเป็น - S แต่ภายในก้อนหินจะมีทั้ง + N และ - S ในก้อนเดียวกันบางตำแหน่งอาจจะเป็น + พอไปอีกหน่อยเป็น - ซะงั้น แล้วมันแก้โรคได้ไงกันละ เคยเห็นผลิตภัณฑ์ พวก หมอนแม่เหล็ก เตียงแม่เหล็ก หรือพื้นรองเท้าแม่เหล็กบ้างไหมครับ นั่นแหละ หลักการเดียวกัน ทางการแพทย์ก็นำเอาพลังแม่เหล็กนี้มาช่วยในการรักษาเหมือนกัน ทีนี้พอจะเห็นภาพหรือยังละครับว่าคนสมัยก่อน เค้ามีความเชื่อที่ว่าใส่แล้วช่วยแก้โรคต่างๆได้ ผมว่าอันนี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์ได้ ไม่ใช่ความเชื่องมงาย หินยิ่งแข็งมากจะมีค่าของแม่เหล็กยิ่งแรง

ลามะ จะยึดถือเรื่องฤกษ์ยาม และพิธีกรรมเป็นอย่างมากด้วยฤกษ์ยามการสร้างที่ดีจึงทำให้หินทิเบตมีความ ขลังศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับพระเครื่อง หินทิเบตทุกเม็ดมีพลังชี่ พลังนี้เกิดจากการสวดมนต์การสร้างด้วยจิตอันแน่วแน่บริสุทธิ์ และเนื้อหินมีความศักดิ์สิทธิ์ พลังซึ่งเป็นพลังที่มีอานุภาพสูงมาก สามารถบันดาลโชคลาภ การเงินการงาน และบำบัดโรคได้อย่างอัศจรรย์

ใครที่เคยเรียนเรื่องของศาสตร์ฮวงจุ้ย จะต้องรู้จักพลังชี่นี้เป็นอย่าดีจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอีกต่อไป ว่า ทำไมเมื่อได้บูชาสักการะหินทิเบต แล้วย่อมจะมีแต่ความเป็น สิริมงคล และความเจริญโภคทรัพย์มาสู่ในชีวิตของเรา
ส่วน วิธีเขียนลายและขั้นตอนต่างๆนั้นไม่ทราบเหมือนกันว่าขั้นตอนวิธีการทำนั้นทำ กันอย่างไรทราบเพียงแต่ว่าวิธีการทำได้เปลี่ยนไป ตามยุคตามสมัยวิธีการทำในปัจจุบันก็ไม่เหมือนวิธีโบราณ ตัวอย่างเช่นการเจาะรู ยุคหลังๆมานี้ไม่ได้ใช้การเจาะรูทีละข้าง เหมือนเมื่อก่อนแล้วเพราะมีเครื่องมือทันสมัยมากมายขึ้น ส่วนสีที่ใช้เขียนก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันออกไป

ความเชื่อเกี่ยวกับหินทิเบต

หินทิเบต (DZI) เป็นหินภูเขาไฟ ถูกขุดพบจากเทือกเขาหิมาลัย ในสมัยโบราณใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ เทียบเท่ากับเงินพดด้วงเบี้ยหอย ค่าเงินของไทยในอดีตก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงมาเป็นเงินหรือธนบัตรรูปแบบต่างๆที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน










หยกกับความเชื่อ!!!
อัญมณีชนิดใหนก็มีความเชื่อต่างๆกันไปแต่ล่ะชนชาติ แต่ไหนวันนี้เราจะพูดถึงอัญมณีที่ชาวจีนยกย่องสูงสุด นั่นคือ..คือคือหยกนั้นเอง
หยกในภาษาจีนกลาง คือ ยู่ จีนแต้จิ๋ว คือ เง็ก(เกี่ยวกับเง็กเซียนฮ่องเต้ป่าวไม่รู้ ความเห็นส่วนตัว อิอิ) จากการที่อ่านมาจากเว็บชาวบ้าน(ก๊อปก็บอกมาเหอะ)ทำให้รู้ได้ว่า หยกถือเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรม5ประการคือ 
1.ใจบุญ2.สมถะ3.กล้าหาญ4.ยุติธรรม5.มีสติปัญญา



เพราะชาวจีนเชื่อว่าหยกเป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาซึ่งสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง ความร่ำรวย ความมีโชคแก่ผู้ครอบครองและทำให้อายุยืนด้วยดังนั้น ชาวจีนในสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดจึงนิยมใช้หยกเป็นเครื่องประดับและเครื่องใช้ต่าง เช่น พระจักรพรรดิใช้หยกเป็นตราพระราชลัญจกร พระธำมรงค์ พระคทา หรือพระที่นั่ง ชาวจีนทั่วไปมักจะให้ลูกหลานของตนพกหยกติดตัวไว้เสมอ ถ้าเป็นเด็กหญิงจะสวมกำไลหยก แต่ถ้าเป็นเด็กชายก็จะพกเครื่องใช้ที่ทำด้วยหยกหรือจี้พระหยก เมื่อเสียชีวิตหยกก็จะถูกฝังลงไปพร้อมกับศพ








    ว่ากันว่าที่ชาวจีนใส่หยกไปกับโลงเพราะเชื่อว่าจะรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย    








หยกสีเขียว คือ สีที่ผู้คนนิยมสวมใส่มากที่สุด แต่นอกจากสีเขียวแล้วหยกยังมีสีสันอื่น ๆ อีก เช่น แดง ม่วง เหลือง น้ำตาล สีของหยกที่แตกต่างกันเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของสิริมงคลที่แตกต่างกันไป เช่น หยกสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ร่ำรวย หยกสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความมีโชค หยกสีม่วงเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่มีความสุขสมบูรณ์พร้อม หยกสีอ่อน ๆ เนื้อแก้วเป็นสัญลักษณ์ของจิตใจที่สงบสุข ส่วนลักษณะที่แข็งและหนาแน่นของหยกเปรียบเหมือนความฉลาดและความกล้าหาญ ความลื่นเป็นมันของผิวหยก คือ ความยุติ - ธรรม และการให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเป็นเครื่องหมายของความกตัญญู
นอกจากนี้ ชาวจีนยังเชื่อกันอีกว่าหยกมีอำนาจคุ้มครองผู้สวมใส่ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย เป็นเครื่องรางบอกเหตุได้ว่าผู้สวมใส่กำลังมีโชคหรือมีเคราะห์อย่างไร สังเกตได้จากสีของหยก หากหยกมีสีสันสดใส นั่นก็หมายความว่า เจ้าของหยกกำลังจะมีโชค แต่ถ้าหากหยกมีสีหมองลงหรือมองเห็นรอยแตกร้าวชัดขึ้นก็แปลว่า เจ้าของหยกกำลังจะมีเคราะห์มาเยือน หยกที่ชาวจีนใช้เป็นเครื่องรางมักจะแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ปลา เต่า จิ้งหรีด หน้าเสือ

ทางด้านการรักษาโรค ชาวจีนเชื่อกันว่าหากกินหยกบดละเอียดจะช่วยรักษาโรคไต โรคเจ็บสีข้าง โรคโลหิตจาง โรคหอบหืด







ชาวจีนศรัทธาและยกย่องอัญมณีสีเขียวล้ำค่านี้มากจนนำคำว่า "หยก" มาใช้เป็นคำแสดงลักษณะอาการที่ประณีต งดงาม และมีความหมายในทางที่ดีงามอีกด้วย เช่น
"ยู่หนู่" แปลตามตัวว่า ผู้ที่ทำด้วยหยก แต่ความหมายที่แท้จริง คือผู้หญิงสวย
"ยู่เมี่ยน" แปลว่าหน้าหยก แต่ความหมายที่แท้จริง คือใบหน้าอันงดงาม
"ยู่ถี่"แปลว่า ร่างที่ทำด้วยหยก แต่ความหมายที่แท้จริง คือร่างอันมีค่าของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง

ทุกวันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงใช้หยกเป็นเครื่องประดับอยู่ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานาน แต่ความเชื่อความศรัทธาในคุณค่าของอัญมณีชิ้นหนึ่งสามารถถ่ายถอดมาสู่ผู้คนรุ่นหลังได้โดยไม่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่า หยก คือ อัญมณีคู่ชีวิตของชาวจีนจริง 
เห็นรึยังว่าหยกไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับนะ เพราะมันเป็นหยก
มันยังเป็นสิ่งมงคลมาตั้งแต่โบราณกาล ไม่ว่าจะถูกจะแพงก็มีค่าเท่ากัน แล้ววันนี้คุณล่ะมีหยกติดตัวแล้วรึยัง


หยกแต่ล่ะสีมีชื่อเรียกว่าอะไร
หลายคนคงสงสัยหรือเคยได้ยิน เช่น หยกจักรพรรดิ หยกถั่ว 
หยกน้ำมัน


วันนี้เราจะมาแยกประเภทกันอย่างล่ะเอียดชนิดไม่ต้องงงกันอีกแล้วหากไปเห็นหยกตามที่ต่างๆ



หยกจักรพรรดิหรือเรียกอีกอย่างว่าหยกอิมพิเรียล
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าใหญ่แค่ไหนในตระกูลหยก  หยกชนิดนี้ถือว่าเจ๋งสุด 
หายากสุด และแพงที่สุดแล้ว
ราคาก็อาจอยู่ที่10,000-1,000,000บาทเรยที่เดียว สีก็ดูง่าย 
จะออกเขียวมรกต(ดูภาพตาม)แวววาว
เนื้อจะเนียนมากๆ ส่องไฟแล้วจะใสสวยงาม จำไว้ดีๆ จะออกเขียวมรกตไม่คล้ำเกินไม่อ่อนเกิน แค่บางทีดูผ่านๆอาจแยกแยะไม่ออก ต้องลองส่องดู

หยกแอปเปิ็ลหรือแอปเปิ้ลกรีน
อาจจะคล้ายหยกจักรพรรดิ แต่สีจะออกเหลืองๆ สีจะอ่อนกว่าหยกจักรพรรดิ 
ส่วนใหญ่จะโปร่งแสง
ส่วนราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยงามๆก็ถึงหมื่นได้อย่างไม่ยากเย็น ดดยส่วนตัวแล้วคิดว่าหาง่ายนะเห็นมีทั่วไปตามตลาดพลอย


หยกแก้วหรือหยกนาคารี
สีอ่อนกว่าจักรพรรดิ แต่ใสมาก คล้ายแก้วเหมือนชื่อ


หยกน้ำมัน
 สีจะออกเขียวคล้ำๆแต่ผิวจะมันมาก


หยกถั่วหรือมอสอินสโนว์
จะออกขาวๆปนเขียวๆเป็นหย่อมๆ นึกนึกต้นมอสที่ขึ้นกลางหิมะ



หยกลาเวนเดอร์
คือหยกสีม่วงนั่นเอง ถ้าไม่ชอบหยกสีเขียงสีม่วงถือเป็นที่นิยมที่สุด



หยกน้ำผึ้ง
มันคือหยกสีน้ำผึ้ง ออกส้มๆเหลืองๆแบบน้ำผึ้ง อาจจะโปร่งแสงหรือทึบแสงก็แล้วแต่คุณภาพ

การพิจารณาในการเลือกซื้อหยก
หยกไม่มีราคาที่ตายตัว ราคาแล้วแต่ความพอใจของทั้ง2ฝ่ายว่าตกลง  รู้ได้ไงว่าไม่โดนหลอก)
หากเราไม่รู้จักร้านที่ไว้ใจหรือสนิท(แบบว่ามือใหม่หัดซื้อ)ก็ยังมีเกณท์หลักๆในการพิจราณาดังนี้
1.สี

แน่นอนว่าเมื่อเราจะซื้อหยก อย่างแรกเลยที่เราจะรับรู้ได้ก่อนนั่นคือสีของหยก สีที่เป็นที่นิยมกันก็จะมีหลักๆคือ เขียวมรกต เขียวแอปเบิ้ล เขียวอมเหลือง เขียวอมเทา สีเหล่านี้ถือเป็นที่นิยม และยังมีอีกสีที่นิยมไม่แพ้กัน นั่นคือ หยกม่วงหรือหยกลาเวนเดอร์นั่นเองส่วนสีขาวราคาค่อนข้างต่ำแต่ถ้าชอบก็ได้ หยกก็คือหยกนั่นล่ะ
ตัวอย่างหยกสีเขียวมรกต ถือว่าดีที่สุด

ตัวอย่างหยกสีแอปเปิ้ล
หยกเขียวอมเทาหรือหยกน้ำมัน
หยกม่วงหรือหรือหยกลาเวนเดอร์อาจเข้มอ่อนต่างกัน

2.ความโปร่ง
กรณีนี้คงต้องใช้ประสบการณ์นิดนึง วิธีดูความโปร่งให้ท่านเข้าใจที่สุดเท่าที่จะทำได้
คำเตือน-สิ่งที่จะตามมากับหยกน้ำใสวิ้งๆก็คือ ราคาที่แพงสุดสุด

เพราะฉะนั้นโปรดเช็คเงินในกระเป๋าท่านให้ดี  หยกในท้องตลาดมีรองรับท่าน ตั้งแต่100-1,000,000+เพราะงั้นท่านจะมีรายได้เท่าไหร่ก็ซื้อหยกได้แน่นอนถ้าไม่ซีเรียสเรื่องเกรดหยกนะ

ความโปร่งไม่ใช่ตัวตัดสินหลักในราคาหยก ยกตัวอย่าง หากมีหยก2เม็ดมาให้ท่านเลือกสีเขียวเหมือนกัน เม็ดแรกสีสวยแต่ไม่ค่อยโปร่ง อันที่สอง โปร่งแต่สีไม่สดเท่าอันแรก หากราคาเท่ากัน จำไว้ว่าให้เลือกเม็ดที่สีสดกว่านะ หากจะวัดความโปร่งให้ลองเอาไปส่องที่ไฟ แล้วดูว่าแสงผ่านมาได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าแสงเข้ามาไม่ได้เลย พยายามหาอันอื่น ที่จริงจะซื้อก็ได้นะแต่ราคาจะถูกมากๆ หากแสงเข้ามาได้ ให้ดูว่าแสงสม่ำเสมอมั้ย มีจุดดำหรือรอยแตกร้าวมั้ย(ไม่ใช่ว่ามีจุดดำหรือรอยแล้วจะห้ามซื้อ ราคาก็จะลดลงตามส่วน อยู่ที่ตังของเรานั้นเอง)
ถ้าแสงเข้าถึงทั่วทั้งเม็ดในส่วนนี้ก็โอเค

3.เนื้อแร่
อันนี้วัดได้จากความโปร่งแสงนั่นล่ะ หากเนื้อแร่ประสานกันดีมันก็จะยิ่งโปร่ง

4.ความวาว

ความมันเป็นไข ความนุ่มของเนื้อหยก ถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของหยกเนื้อละเอียด
แบบนี้ถือว่าเยี่ยม ซึ่งมีราคาแพง
คนธรรมดาระดับบี้ก็พอแล้วโดยปกติหยกตามตลาดเขาก็ขัดมันกันทุกชิ้นอยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวล แวววาวแน่นอน
)

  
   

     
5. ตำหนิ มลทิน ไม่ควรเลือกซื้อหยกที่มีตำหนิต่างๆ เช่น ลักษณะรอยแตก รอยขูดร้าว รอยปะ รอยขีดข่วนต่างๆ ลักษณะจุดสี หย่อมสี รอยด่างของสี (ขาว หรือดำ) เป็นต้น กล่าวคือ เลือกหยกที่มีตำหนิดังกล่าวน้อยที่สุด ขนาดเล็กที่สุดนั่นเอง หยกที่ตำหนิมลทินต่างๆ มาก จะทำให้ความสวยงามลดลงเช่นกัน

     
6. การเจียระไน ขัดมัน แกะสลัก ควรพิจารณาดูความกลมกลืน ความสมบูรณ์ของรูปแบบ สัดส่วน ความสมดุล ความมีเอกภาพของรูปแบบ ซึ่งอาจจะขึ้นกับรสนิยมทางศิลปะของแต่ละคน แต่ละยุคสมัยด้วย


หินโรสควอตซ์

โรส ควอตซ์ (Rose Quartz)  ความหมาย  "หินแห่งความรักและการให้อภัย" 
ลักษณะพิเศษ:โรส ควอตซ์ เป็นหินควอตซ์ชนิดสีชมพูอ่อน คล้ายกลีบกุหลาบสีชมพูที่อ่อนหวาน และบางครั้งก็อาจมีสีเข้มขึ้นเกือบออกแดง ความหมาย :บำบัดความรัก ไม่สมหวัง รักเขาแล้วเขาไม่รัก เป็นทุกข์เพราะความรัก อยากให้ความรักสมหวัง มีความสุข เพียงแค่คุณรู้จักใช้หินสี รักนี้ก็สมหวังได้ไม่ยาก โรสควอตซ์ คือ หินสีชมพู พลังของสีชมพู ช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใส จากที่โมโห หงุดหงิด จะใจเย็นลงได้ มาดูกันเลยว่า หิน Rose Quartz คืออะไร โรสควอตซ์ – หินสีชมพูอ่อนใส หรือที่เรียกกันว่า “ควอตซ์กุหลาบ” เกิดจากธาตุไทเทเนียม เหล็ก และแมงกานีสผสมอยู่ มีลักษณะโปร่งใส และโปร่งแสง จุดเด่นอยู่ที่สีชมพู   เชื่อกันว่า โรสควอตซ์ เป็นหินแห่งเทพวีนัส มีพลังของเพศแม่ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความรัก และการให้อภัย สามารถขจัดความประหม่า เชื่อว่าช่วยรักษาแผลใจของคนอกหักได้ และโรสควอตซ์ยังช่วยให้ผู้หญิงมีอารมณ์นุ่มนวล อ่อนหวาน ช่วยให้ผู้ชายใจเย็นลง ดังนั้นจึงนิยมนำมาใช้ในการบำบัดอารมณ์ ความรู้สึกของคนที่ต้องการความรักความเข้าใจ และยังช่วยให้คู่รักมีความรักที่มั่นคงยืนยงด้วย นอกจากความเชื่อเรื่องเป็นหินแห่งความรักแล้ว ยังเชื่อกันอีกว่า โรสควอตซ์ เป็นหินที่ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนต่างๆ ของร่างกาย และการทำงานของหัวใจ และเป็นพิเศษในด้านความงาม เชื่อกันว่า โรสควอตซ์ ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง สวยงาม และดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ โรส ควอตซ์ หรือ หินแห่งความรัก เป็นหินสีชมพู มีลักษณะใส ช่วยในเรื่องของความรัก และ การให้อภัย เสริมสร้างเสน่ห์ สร้างมิตรภาพ เสริมความร่ำรวย และ ปกป้องคุ้มครองเด็กแรกเกิดตำนานมีการกล่าวไว้ว่า สมัยโบราณ หินชนิดนี้ได้รับการนับถือว่ามีพลังด้านเมตตามหานิยม และเสริมทางด้านความรักใคร่ สีชมพูอ่อนของโรส ควอตซ์ ช่วยให้เกิดความรู้สึกเย็นตาเย็นใจ นำความรัก และ ความสุขมาให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครอง ให้พลังที่นุ่มนวลอ่อนโยน ทั้งยังช่วยเสริมสร้างมิตรภาพ ความรู้สึกที่ดีๆต่อกัน ร้อยได้ดีกับ:เชือกเทียน, เอ็นร้อยลูกปัด, เอ็นยืด DIY กับหิน: โดยทั่วไปนิยมร้อยทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ ร้อยเป็น สร้อยข้อมือลูกปัด, สร้อยคอลูกปัด, แหวน,ต่างหู, ม่านลูกปัด, โคมไฟ, ตกแต่งผ้าหรือทำงานฝีมือต่างๆตามไอเดียเลยค่ะ



หินไหมทองหินไหมทองทรงกลมสีขาวใส 12 มิล

ไหมทอง (Rutile Quartz)  ความหมาย  "หินแห่งความร่ำรวย"
ดูความหมาย 
ลักษณะพิเศษ:หินสี หินไหมทอง Rutilated Quartz ลักษณะ เป็นผลึกควอทซ์มีแร่อยู่ภายในเป็นเส้นสีทอง หินไหมทองที่มีคุณภาพดีต้องดูความใสของหิน ความหมาย :สัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย จะนำความอุดมสมบูรณ์ และโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ สวมใส่ติดกายไว้หากมีการสื่อสารเรื่องเงินทอง อาจทำให้โชคดี เจรจาเป็นผลสำเร็จ หรืออาจถูกลอตเตอรี่ได้รับรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ยังเป็นหินสร้างความเชื่อมั่น ชำระล้างพลังด้านลบ ปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง เสริมอำนาจบารมีแก่ผู้เป็นเจ้าของ ร้อยได้ดีกับ:เชือกเทียน, เอ็นร้อยลูกปัด, เอ็นยืด DIY กับหิน: โดยทั่วไปนิยมร้อยทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ ร้อยเป็น สร้อยข้อมือลูกปัด, สร้อยคอลูกปัด, แหวน,ต่างหู, ม่านลูกปัด, โคมไฟ, ตกแต่งผ้าหรือทำงานฝีมือต่างๆตามไอเดียเลยค่ะ

หินไทเกอร์อายส์   หินไทเกอร์อาย ทรงกลม สีเหลืองดำ  15 มิล

หินสี,หินมงคล ทั้งหมด Gem Stone
ไทเกอร์ ’ อาย (Tiger’s Eye)  ความหมาย  "หินแห่งการปกป้อง"
ลักษณะพิเศษ:คือมีลักษณะของเส้นใยอยู่ภายใน ไทเกอร์อาย ... เหลืองทองและน้ำตาลทอง ซึ่งเนื้อหินบางส่วนจะมีลักษณะเป็นพื้นสีดำ ... ความหมาย :ไทเกอร์ อาย Tiger's Eye หรือ พลอยตาเสือ มีคุณสมบัติในการพัฒนาญาณหยั่งรู้ ให้เกิดในรูปของการมองเห็น เหมาะกับการใช้นั่งสมาธิ ช่วยกระตุ้นพลังชีวิต และพลังความคิดให้เกิดแรงบันดาลใจ บรรเทาอาการปวดศีรษะเนื่องจากความเครียด ช่วยขจัดปัดเป่าฝันร้าย ขับไล่วิญญาณไม่ให้มาใกล้ สวมใส่เป็นเครื่องประดับ หรือพกติดตัวไว้ จะมีพลังในการปกป้องคุ้มครองสูง หินสีบำบัด ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดลม เช่น หอบหืดแหล่งหินสี Tiger Eye อยู่ในแอฟริกาใต้ หินที่ดีที่สุดมาจาก Griqualand ตะวันตก ร้อยได้ดีกับ:เชือกเทียน, เอ็นร้อยลูกปัด, เอ็นยืด DIY กับหิน: โดยทั่วไปนิยมร้อยทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ ร้อยเป็น สร้อยข้อมือลูกปัด, สร้อยคอลูกปัด, แหวน,ต่างหู, ม่านลูกปัด, โคมไฟ, ตกแต่งผ้าหรือทำงานฝีมือต่างๆตามไอเดียเลยค่ะ

มณีใต้น้ำหินมณีใต้น้ำคละสี 4-10 มิล


มณีใต้น้ำ เพชรพญานาค
มณีใต้น้ำ เพชรพญานาค เป็นหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง หรือ ตามถ้ำริมแม่น้ำโขง  จากเรื่องราวของแก้มังกรหรือแก้วกายสิทธิ์ของนาคราชแห่งเมืองบาดาล เรื่องราวของธาตุกายสิทธิ์ที่เป็นแก้วสารพัดนึก แก้วกายสิทธิ์อันหาได้ยาก เรื่องราวที่เล่าขานจากรุ่นปู่รุ่นย่าถึงอภินิหารแห่งของกายสิทธิ์ชนิดนี้ แต่ในเวลาต่อมายุคเงินตราเป็นใหญ่ เรื่องราวหลายเรื่องของธาตุกายสิทธิ์อันวิเศษ เรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็ได้ถูกคนกลุ่มหนึ่งนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นช่องทางในการทำมาหากิน โดยอาศัยความเชื่อของคนเราที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นช่องหากำไร อย่างเหล็กไหลจนกระทั่งมาถึงเพชรพญานาคของล้ำค่าแห่งนาคโลก


แก้วตาเสือไม่ใช่แร่ที่อยุ่ใต้ดินหรอก แต่เดิมทีมันคือไม้
แก้วตาเสือหรือไทยเกอร์อาย โดยทั่วไปจะออกสีเหลืองเป็นแนวยาวคล้ายตาเสือ เนื้อในมีความแวววาวเล่นแสงมาก
ความเชื่อในอดีตเชื่อว่าหินชนิดนี้ จะช่วยป้องกันอันตรายจากคุณไสย-สิ่งลี้ลับ  และเชื่อว่าคุณสมบัติช่วยกระตุ้นพลังชีวิต ส่งเสริมสุขภาพให้กระชับกระแฉ้ง ความมีระเบียบวินัย ความสุขุม และความมั่นคงของจิตใจและร่างกาย เปรียบแล้วก็เหมือนตำรวจทีเก่งทั้งบู๊ และบุ๋น นั่นคือไทเกอร์อาย
จึงสรุปได้ว่าแก้วตาเสือถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงพลังอำนาจของผู้ใส่

แอเมทิสต์(Amethyst) 7.58 ct หยดน้ำ

แอเมทิสต์ (Amethyst)

เป็นอัญมณีสีม่วงจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับซิทริน เป็นอัญมณีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากทุกคนทั่วโลก เป็นอัญมณีที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของครอบครองได้

ความเชื่อ : แอเมทิสต์ถูกกำหนดให้เป็นอัญมณีสำหรับผู้ที่เกิดเดือนกุมภาพันธ์
แหล่งกำเนิด : บราซิลรับว่าเป็นแหล่งที่มีแอเมทิสต์คุณภาพสูง แหล่งอื่นๆก็มีที่อินเดีย, นามิเบีย, ศรีลังกา

บุษราคัม(Yellow Sapphire) 9.06 ct แม่โขง คุชชั่น ไฟเต็มเม็ด  [Video]

บุษราคัม (Yellow sapphire )

เป็นอัญมณีประเภทคอรันดัมที่มีสีเหลือง พบได้ในธรรมชาติเป็นแร่เดียวกับทับทิม ไพลิน เขียวส่อง พัดพารัดช่า และพวก Fancy sapphire บุษย์น้ำแม่โขงและน้ำทองเป็นที่นิยมจะมีราคาแพง โดยน้ำโขงจะแพงกว่า แต่ในปัจจุบันอีกสีหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติคือ สีมะนาว 
ความเชื่อ : บุษราคัมถือว่าเป็นอัญมณีประจำวันเกิดของคนเกิดวันจันทร์
แหล่งกำเนิด : แหล่งบุษราคัมที่สำคัญคือ จันทบุรี(คุณภาพและราคาสูงกว่าแหล่งอื่นๆ)ศรีลังกา ทวีปแอฟริกา ออสเตรเลียและอื่นๆ



เรนโบว์โอปอล (Rainbow Opal) 4.00 ct รูปไข่ รุ้งเยอะ

โอปอล(Opal) 11.26 ct  สีชมพูหวาน หลังเบี้ย 

เรนโบว์โอปอล(Rainbow Opal) 5.94 ct ขาวขุ่น 

เรนโบว์โอปอล(Rainbow Opal) 2.89 ct หยดน้ำ รุ้งเพียบ 

โอปอล(Opal) 10.38 Cts หยดน้ำ หลังเบี้ย สีเขียวอ่อน 

โอปอ(Opal) 41.05 ct สวย แปลก เป็นลายแตกธรรมชาติ 

เรนโบว์ โอปอ(Rainbow Opal) 5.96 ct ขาวขุ่น รุ้งเล็กน้อย 

เรนโบว์ โอปอ(Rainbow Opal) 13.50 ct เนื้อแตกลายงา ธรรมชาติ สวย 

เรนโบว์โอปอล(Rainbow Opal) 4.50 ct ใส รุ้งเยอะ

โอปอ (Opal)

เป็นอัญมณีที่ได้รับความนิยมมากก็เพราะเสน่ห์ของการเล่นสีที่พริ้วไปมาเมื่อต้องกับแสงไฟ โดยลักษณะที่ปรากฏมีความอ่อนช้อยไร้ขอบเขต และสามารถพบได้ตามก้อนหิน ต้นไม้ และพบได้แม้แต่กระดูกสัตว์ เขาสัตว์
ความเชื่อ : โอปอ อัญมณีประจำเดือนเกิดสำหรับผู้ที่เกิดเดือนตุลาคม เป็นอัญมณีที่นำมาซึ่งมิตร
แหล่งที่มา : โอปอคุณภาพสูงจะขุดได้จากประเทศออสเตรเลีย, เม็กซิโก, แอฟริกา


ทับทิม(Ruby) 4 เม็ด /1.75 กะรัต พลอยดิบไม่เผา

ทับทิม (Ruby)


ทับทิมราชาแห่งอัญมณีทั้งปวง ด้วยความงามของแสงสีแดงทำให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของทุกคนที่พบเห็น ทับทิมธรรมชาติทุกเม็ดจะสามารถมองเห็นตำหนิได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ควรเลือกเม็ดที่มีตำหนิที่สีเด่นชัดแตกต่างจากสีของทับทิม และตำหนิที่มีรอยแตกร้าวกินขึ้นมาถึงผิวด้านหน้า
ความเชื่อ :  ทับทิม อัญมณีสำหรับผู้เกิดเดือนกรกฎาคม ความงดงามของสีแดงสดทำให้เกิดความมุ่งมาดปราถนาอย่างแรงกล้า
แหล่งกำเนิด : ทับทิมจากพม่าจัดได้ว่าเป็นทับทิมที่มีคุณภาพสีดีมาก โดยเฉพาะที่ขุดพบที่เหมืองโมกก(Magok), ทับทิมจากเวียดนามก็มีความสวยงามแต่มีปริมาณไม่มาก ต่างจากทับทิมจากมาดาร์กัสการ์ที่มีปริมาณมาก และหลังจากผ่านกระบวนการเพิ่มคุณภาพด้วยความร้อนก็จะมีสีที่แดงเข้มสวยงาม


นิล(Onyx) 12.58 ct รูปร่างไข่ เจียรเหลี่ยม

นิล(Onyx) 13.90 กะรัต เจียรเหลี่ยม รูปไข่ 

นิล(Onyx) 23.17 กะรัต หลังเบี้ย ดำเงา 

นิล(บางกะจะ) 4 เม็ด/ประมาณ 15 ct 10 x 8 mm [เหลือ 8 ชุด]

ออนิกซ์ (Onyx)

เป็นแร่รัตนชาติอีกประเภทหนึ่งของแคลซิโดนีมีสีน้ำตาล หรือสีดำ มักมีแถบสีขาวสลับกับสีเข้ม นอกจากนี้โอนิกซ์มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกด้วย คือ Chalcedonyx และ Sardonyx
ความเชื่อ : นิลถือเป็นอัญมณีประจำราศรีมิถุน และประจำวันเกิดวันเสาร์
แหล่งกำเนิด : จังหวัดกาญจนบุรี

มรกต(เขียวส่อง) 3.13 Ct. รูปไข่ ไฟดี สะอาด

มรกต (Green Sapphire)

มรกตเป็นอัญมณีที่มีมูลค่าสูงอีกทั้งได้รับความนิยมมากเป็นอันดับหนึ่ง มากกว่าบรรดาอัญมณีสีเขียวทั้งหลาย อาจกล่าวได้ว่า "มรกต" เป็นราชาแห่งอัญมณีสีเขียวเลยทีเดียว และถือเป็นอัญมณีที่อยู่ในความปรารถนาของผู้คนที่ชื่นชอบอัญมณีแทบทุกคน มรกตเป็นอัญมณีแถวหน้าเช่นเดียวกับเพชร, ทับทิม, ไพลิน, บุษราคัม
ความเชื่อ : มรกตอัญมณีประจำเดือนเกิดสำหรับผู้ที่เกิดเดือนพฤษภาคม มรกตคือเครื่องหมายแห่งความสัตย์ซื่อและความรักที่ไม่แปรแปลี่ยน



ไพลิน(Blue Sapphire) 9.97 กะรัต หลังเบี้ย น้ำเงินสวย ไฟดี

ไพลิน (Blue Sapphire)

เป็นอัญมณีที่เป็นความสุดยอดของอัญมณีสีน้ำเงินทั้งปวง มีความสวยงดงามในการสะท้อนบุคลิกภาพ ทำให้ผู้สวมใส่แลดูสงบ มั่นคง น่าเคารพยำเกรง
ความเชื่อ : อัญมณีสีน้ำเงินสำหรับผู้เกิดเดือนกันยายน






สร้อยคอเม็ดอิตาลี 3มิติ 2กษัติรย์ มีให้เลือกระหว่าง ยาว 18นิ้ว หรือยาว 24 นิ้วสวมคอได้ งานแบบร้านเพชรร้านทอง ชุบเศษทองคำแท้ และเงินแท้ ตัดลายเม็ดมะยมวิ้งๆ งานสวย ปราณีต พร้อมถุงกำมะหยี่

Inspire Jewelry สร้อยคอเม็ดอิตาลี 3มิติ 2กษัติรย์ มีให้เลือกระหว่าง ยาว 18นิ้ว หรือยาว 24 นิ้วสวมคอได้ งานแบบร้านเพชรร้านทอง ชุบเศษทองคำแท...